เมืองไทย 360 องศา
ตามขั้นตอนถือว่านับตั้งแต่วันนี้ (20 ธ.ค.) เป็นต้นไป คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จำนวน 12 ตำแหน่ง จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ หลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณตนแล้ว และเชื่อว่า จะต้องลงมือลุยงานกันทันที เพราะด้วยเงื่อนไขเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัด นั่นคือ แค่ปีเศษ หรือแค่หนึ่งปีเท่านั้น ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้กับรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปลายปีหน้าตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่กำหนดเอาไว้
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากรายชื่อของคณะรัฐมนตรีทั้งที่เข้ามาใหม่ หรือสับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าต้องการเน้นการขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลัก
ที่ผ่านมา ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า จุดอ่อนของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็คือ เรื่องเศรษฐกิจนี่แหละที่ยังไม่ค่อยประทับใจชาวบ้าน จะด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของโลกที่มันเปลี่ยนไปในทางซับซ้อน และหักมุมไปจากเดิม แม้ว่าในช่วงปีกว่าที่ผ่านมาจะสามารถมีแนวโน้มในทางบวกมากขึ้นก็ตาม แต่เมื่อพิสูจน์กันด้วยผลสำรวจจากทุกสำนักล้วนออกมาตรงกันว่าชาวบ้านยังไม่พอใจในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลมากนัก สำรวจออกมาคราวใดผลก็ออกมาทำนองนี้เช่นเดิม และสิ่งที่ชาวบ้านเรียกร้องให้แก้ไขเร่งด่วนในอันดับแรก ก็คือ เรื่อง “ปากท้อง” ทุกที
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากรายชื่อของคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” ทั้งคนที่มีอยู่เดิม และเข้ามาใหม่ รวมไปถึงที่สับเปลี่ยนตำแหน่งล้วนเป็น “ทีมเดียวกัน” หรือทีมที่ “ประสานงาน” กันได้ นั่นคือ หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา ก็คือ “ทีมสมคิด” ที่มี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ คุมเกมอยู่เช่นเดิม และที่บอกว่ากับ “อีกทีม” ที่เป็นทีมประสานงานกันได้ก็คือ “ทีมของนายกฯ” ที่เชื่อมต่อทางด้านเศรษฐกิจเหมือนกันให้สามารถทำงานแบบ “เข้าขา” กันได้สะดวกมากขึ้นกว่าเดิม
ตำแหน่งหลักๆ เริ่มจาก อุตตม สาวนายน มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นี่ก็คืออยู่ในทีมเศรษฐกิจเดียวกัน สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่เลื่อนชั้นมาจากที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มานั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนในเรื่องโครงการนวัตกรรม โครงการเอสเอ็มอี การประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มี พิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ เพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ผลักดันประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ตามแผน
รวมไปถึง สุวิทย์ เมษินทรีย์ ที่ข้ามมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ หากคาดเดาไม่ผิดพลาดเขาน่าจะได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล “กองทุนหมู่บ้าน” ซึ่งนาทีนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
ส่วนอีกทีมก็คือ “ทีมนายกฯ” ที่มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คราวนี้ก็มีรัฐมนตรีช่วยว่าการคนใหม่ ก็คือ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร ซึ่งหากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นปลีดกระทรวงพาณิชย์ ที่เพิ่งเกษียณมาไม่กี่วัน แน่นอนว่า จากตำแหน่งดังกล่าวก็ย่อมเคยประสานงานทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯมาก่อนในเรื่องสินค้าเกษตรก็ย่อมเข้าใจและรู้งานกันดี
ดังนั้น แม้ว่าไม่อยากพูดว่าทีมนั้นทีมนี้ที่ทำให้เหมือนกับดูแปลกแยก แต่เพื่อต้องการให้เห็นภาพบางอย่าง แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องหลอมมาเป็นทีมเดียวกันทำงานให้สัมพันธ์กันแบบราบรื่นภายใต้นโยบายระดับบนสุด คือ นายกรัฐมนตรีอยู่ดี และเมื่อพิจารณาจากรายชื่อที่มาลงในตำแหน่งดังกล่าว ทำให้พอมองภาพในอนาคตได้ชัดเจนขึ้นว่าในเวลาที่เหลืออย่างจำกัดนี้ ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม สำนักนายกฯในส่วนของกองทุนหมู่บ้าน หรือแม้แต่กระทรวงมหาดไทยที่กลายเป็นกระทรวงเศรษฐกิจเต็มตัวมากขึ้นน่าจะขับเคลื่อนได้ดีกว่าเดิม
และเป้าหมายที่มองเห็น ก็คือ การลุยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง น้ำหนักที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ เคยย้ำให้เห็นก็คือจะให้ความสมดุลทั้งเศรษฐกิจระหว่างประเทศ คือ ส่งออกและการลงทุน อย่างเต็มที่พร้อมๆ กับให้น้ำหนักในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน นั่นคือ เริ่มจากฐานรากขึ้นมา ธุรกิจเอสเอ็มอี มาช่วยในการขับเคลื่อน และที่สำคัญ ต้องลดต้นทุนของเกษตรกรและเพิ่มรายได้จากราคาสินค้าเกษตร ซึ่งการปรับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ทั้ง 12 ตำแหน่งดังกล่าวน่าจะตอบโจทย์ได้ชัดเจน
อย่างไรก็ดีงาน ข้างหน้ามันไม่หมู ตรงกันข้ามมันเป็น “งานสุดหิน” ด้วยปัจจัยทั้งภายในและภายนอกซับซ้อนขึ้น อีกทั้งยังมีปัญหาปลีกย่อยที่รอปะทุทั้งเรื่องความเฉื่อยชาของระบบราชการ พวก “อำนาจเก่า” ที่รอจังหวะ และเกียร์ว่างมันก็น่าหนักใจ เพราะรู้กันดีว่าคราวนี้ “เดิมพันถึงอนาคต” ถ้าพลาดหรือไม่เป็นไปตามเป้าหมายมันยุ่งเหมือนกัน !!
