สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มติเอกฉันท์ 178 เสียง เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ให้ คณะกรรมการนโยบายฯ มีอำนาจชงนโยบายต่อ ครม. กำกับการจัดซื้อจัดจ้าง เว้นใช้ในส่วนรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับพาณิชย์โดยตรง ซื้อยุทโธปกรณ์แบบจีทูจี วิจัยเพื่อวิชาการ ใช้เงินกู้จากต่างชาติ พร้อมระบุโทษคุก 1 - 10 ปี ปรับ 2 หมื่น - 2 แสน
วันนี้ (15 ธ.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเอกฉันท์ 178 เสียง เห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐพ.ศ. ... ได้รับการประกาศใช้เป็นกฎหมาย
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยให้ รมว.คลัง หรือ รมช.คลัง ซึ่ง รมว.คลัง มอบหมายเป็นประธาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามแนวทางของ พ.ร.บ. นี้
อย่างไรก็ตาม มาตรา 7 บัญญัติให้ พ.ร.บ. นี้ ไม่ใช้บังคับแก่การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการพาณิชย์โดยตรง การจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์และการบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ โดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือโดยการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น การจัดซื้อจัดจ้างจากเพื่อการวิจัยและพัฒนา เพื่อการให้บริการทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา การจัดซื้อจัดจ้างโดยใช้เงินกู้หรือเงินช่วยเหลือกจากรัฐบาลต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ
มาตรา 8 กำหนดเป็นหลักการสำคัญว่าการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของรัฐ และต้องสอดคล้องกับหลักการ มีคุณภาพ หรือคุณลักษณะที่ตอบสนองวัตถุประสงค์ในการใช้งานของหน่วยงานของรัฐ มีราคาที่เหมาะสม และต้องโปร่งใสและมีหลักฐานการดำเนินงานชัดเจนและมีการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุในทุกขั้นตอน
ขณะเดียวกัน มีการกำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 118 โดยระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบริหารพัสดุ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุตาม พ.ร.บ. นี้ โดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท