โฆษก รบ. เผย 3 ธนาคารรัฐทยอยจ่ายเงินผู้มีรายได้น้อยแล้ว คาด ดำเนินการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี เป็นของขวัญปีใหม่ พร้อมปฏิเสธปรับขึ้นค่าครองชีพ ขรก. บำนาญ ชี้ ปรับขึ้นร้อยละ 4 แล้ว ตั้งแต่ปี 57
วันนี้ (11 ธ.ค.) พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เริ่มจ่ายเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 1,500 - 3,000 บาท แล้ว ซึ่งจะดำเนินการทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่พี่น้องประชาชน
“ผู้มีรายได้น้อยที่มีข้อมูลและคุณสมบัติครบถ้วนที่ลงทะเบียนผ่าน ธ.กรุงไทย มีจำนวน 981,000 ราย ธ.ออมสิน 2,160,000 ราย และ ธ.ก.ส. 3,840,000 ราย แบ่งเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท ของทั้ง 3 ธนาคาร ซึ่งจะได้รับเงิน 3,000 บาท จำนวน 3,161,000 ราย และผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งจะได้รับเงิน 1,5000 บาท จำนวน 3,820,000 ราย”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เมื่อวานนี้ทั้ง 3 ธนาคาร ได้เริ่มโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนผู้ที่ยังไม่มีสมุดบัญชีเงินฝากได้เดินทางไปรับเงินกันอย่างคึกคัก โดยธนาคารขอเชิญชวนให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเปิดบัญชีเงินฝากได้ ณ สาขาที่สะดวก โดยไม่ต้องมีเงินฝากภายในระยะเวลาที่แต่ละธนาคารกำหนด เพื่อเร่งโอนเงินให้ผู้มีรายได้น้อยที่มีคุณสมบัติครบถ้วนโดยด่วนต่อไป
ส่วนกระแสข่าวที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ ว่า ครม. มีมติอนุมัติให้ปรับขึ้นเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) ร้อยละ 4 โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 59 นั้น ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ครม. ได้มีมติปรับขึ้น ช.ค.บ. ร้อยละ 4 ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 57
“รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือเกษตรกร ข้าราชการ และพนักงานของรัฐ และขยายไปถึงอาชีพอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมทั้งหมด แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ไม่สะเปะสะปะ โดยกระตุ้นให้มีการลงทะเบียนเพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง นำไปสู่การใช้จ่ายงบประมาณด้านสวัสดิการของประชาชนอย่างตรงจุด และมีประสิทธิภาพ เช่น รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี ฯลฯ นอกจากนี้ ขอย้ำว่า มาตรการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเป็นมาตรการชั่วคราวที่ทำควบคู่ไปกับมาตรการทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และไม่ทำให้ประชาชนเป็นหนี้เพิ่ม”