xs
xsm
sm
md
lg

รบ.เผยอันดับความยากง่ายการประกอบธุรกิจไทยดีขึ้น เร่งสร้างความมั่นใจนักลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (แฟ้มภาพ)
โฆษกรัฐบาลเผยธนาคารโลกจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของไทยดีขึ้น ติด 1 ใน 50 จาก 190 ประเทศ ชี้เป็นความสำเร็จของทุกฝ่าย พร้อมเร่งปรับปรุงบริการภาครัฐสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน

วันนี้ (30 ต.ค.) พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารโลกได้รายงานผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2017 โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 46 จาก 190 ประเทศ ดีขึ้นจากอันดับที่ 49 ในปีที่ผ่านมาซึ่งมีคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 72.53 จากเดิม 71.65 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย

“ผลงาน 5 ด้านที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ จากอันดับที่ 96 เป็น 78 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 97 เป็น 82 ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุน จากอันดับที่ 36 เป็น 27 ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง จากอันดับที่ 57 เป็น 51 และด้านแก้ไขปัญหาการล้มละลาย จากอันดับที่ 49 เป็น 23”

พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากชื่นชมและขอบคุณทุกหน่วยงานที่มีส่วนสำคัญในผลงานครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จของทุกฝ่าย แต่ต้องพยายามพัฒนาต่อไปอีก พร้อมทั้งย้ำว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริการภาครัฐในทุกด้านให้ดีขึ้น โดยเรื่องที่ธนาคารโลกเห็นว่าเป็นการปฏิรูปสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ด้านการได้รับสินเชื่อ และด้านการแก้ไขปัญหาการล้มละลาย ที่รวดเร็วขึ้น

“ตัวอย่างของการเริ่มต้นธุรกิจที่รวดเร็วขึ้น คือ การสร้างระบบการบริการจ่ายเงินลงทะเบียนไว้ที่จุดเดียวกัน และการลดระยะเวลาในการขอรับตราประทับของบริษัท ส่วนด้านการได้รับสินเชื่อ มีการปรับปรุงการเข้าถึงข้อมูลด้านสินเชื่อ ที่ได้ให้ข้อมูลคะแนนสินเชื่อแก่ธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจให้สินเชื่อได้ง่ายขึ้น และด้านการแก้ไขปัญหาการล้มละลาย มีการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมาย เช่น กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉ.8) พ.ศ. 2558 ช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการบังคับคดีล้มละลาย และ พ.ร.บ.ล้มละลาย (ฉ.9) พ.ศ. 2559 ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น”

ทั้งนี้ การจัดอันดับครั้งนี้มีความสำคัญเพราะสามารถเชื่อมโยงไปสู่การจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งจัดโดยสถาบัน IMD และ WEF ที่คาดว่าจะดีขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติ เกิดความเชื่อมั่นและเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น