สนช.จัดพิธีตักบาตรพระสงฆ์ ในโอกาสครบ 7 วันแห่งการสวรรคต “รัชกาลที่ ๙” ประธาน สนช.พร้อมน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการฯ ปฏิบัติตนตามแบบอย่าง ประชุมพิจารณา กม.ปกติ คงตามโรดแมป การสืบสันตติวงศ์ รัฐบาลได้ประสานมาตลอด ย้ำต้องมีความสัมพันธ์กัน รอมติ ครม.พร้อมประชุมทันที เตรียมพิจารณา กม.ลูกจาก กรธ.
วันนี้ (19 ต.ค.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้จัดให้มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 89 รูป น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสสัตตมวาร (7 วันแห่งการเสด็จสวรรคต) โดยมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พร้อมด้วยข้าราชการจากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เข้าร่วม
ในการนี้ได้จัดให้มีพิธีสงฆ์และถวายภัตตาหารเช้า ณ สโมสรรัฐสภา โดย พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี เวลา 07.19 น. ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 2 นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีถวายความอาลัย พร้อมนำตั้งจิตสงบนิ่งเป็นเวลา 9 นาที จากนั้นได้ร่วมกับข้าราชการและสื่อมวลชนตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 89 รูป ณ บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา 2
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการเป็นประธานในพิธี ว่ากิจกรรมดังกล่าวแสดงถึงความจงรักภักดี และแสดงถึงความอาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และที่น่ายินดีก็คือบรรดาสมาชิกฯ ต่างก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและมาร่วมแรงร่วมใจกันอย่างคับคั่ง โดยทาง สนช.ก็จะน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” หลักที่พระองค์ในฐานะผู้นำหมายเลขหนึ่งประเทศที่ปกครองแผ่นดินโดยธรรม ก็หมายความว่า ท่านปกครองคนอื่นโดยธรรม คนอื่นๆ ที่ลดหลั่นลงมาหรือผู้ที่ได้รับพระบรมราชโองการจะต้องปฏิบัติหน้าที่เฉกเช่นเดียวกับพระองค์ท่าน นั่นก็คือการยึดหลักความเป็นธรรมและพระองค์ท่านจะเน้นเรื่องความผาสุกของประชาชนชาวสยาม ซึ่ง สนช.ถือเป็นข้าราชการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องปฏิบัติตนตามแบบอย่าง
นายพรเพชรกล่าวต่อว่า ส่วนการประชุมของ สนช.ในคราวต่อไปนั้นก็จะเป็นวาระพิจารณากฎหมายปกติ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศ ตามแผนงานของรัฐบาลและคณะกรรมาธิการฯ โดยจะต้องเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ คือจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง โดยพยายามดำเนินการตามนั้น ซึ่งจะต้องรอดูกฎหมายลูกที่เข้ามา ส่วนกฎหมายที่เป็นไปตามแผนการปฏิรูปนั้น รัฐบาลก็พยายามเร่งรัดเสนอเข้ามา ขณะเดียวกัน กฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการฯ นั้น ก็เหลืออยู่ไม่กี่ฉบับ แต่ถ้ากฎหมายใดที่มีปัญหาที่จะต้องรับฟังประชาชนมากๆ ทาง สนช.ก็ไม่ได้รีบร้อน ซึ่งจะต้องฟังความเห็นทุกอย่างเพื่อให้ลงตัว และเสนอให้ความเห็นชอบเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายในวาระต่อๆ ไป
นายพรเพชรกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการสืบสันตติวงศ์นั้น ทางรัฐบาลก็ได้มีการประสานกันมาตลอด เพราะว่า ต้องขึ้นอยู่กับทางรัฐบาล เพราะตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 23 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปัจจุบันนั้น จะต้องมีกระบวนการที่ต้องให้ทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) แจ้งให้ทาง สนช.ทราบถึงการที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตั้งพระรัชทายาทเอาไว้ ซึ่งก็จะต้องดำเนินการอย่างเป็นทางการด้วยมติ ครม. ถ้าทาง ครม.มีมติมาเมื่อใด ทาง สนช.ก็จะต้องมีการดำเนินการประชุมโดยรีบด่วน โดยทาง สนช.ได้มีการเตรียมพร้อมตลอดทุกวัน แม้กระทั่งในวันนี้พรุ่งนี้ อย่าลืมว่าสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพูดถึงนั้นก็โยงไปถึงพระราชบัณฑูรในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ด้วย ดังนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์กัน
นายพรเพชรกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ ยืนยันว่ากฎหมายลูกก็จะต้องออกตามรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐธรรมนูญจะต้องประกาศใช้ก่อน ตนได้ทราบว่าทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ดำเนินการร่างกฎหมายลูกล่วงหน้าไปแล้ว โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแสดงความคิดเห็นหรือได้ดำเนินการรับฟังความเห็นของพรรคการเมืองมาบ้างแล้ว ทาง สนช.จะไปพิจารณาล่วงหน้าไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ทาง สนช.ซึ่งจะต้องมีภารกิจในการพิจารณาในกฎหมายที่ทาง กรธ.ส่งมานั้นจะต้องดูว่ากฎหมายที่ส่งมาว่าเป็นอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่เป็นทางการแล้วจะได้ไม่เป็นอุปสรรคที่จะอ้างได้ว่าเพิ่งได้รับ ไม่รู้เรื่อง อย่างนี้ไม่ได้