นายกรัฐมนตรี ขอประชาชนนำความโศกเศร้าเป็นพลังให้ชาติ ขออภัยไม่ได้รับความสะดวก เตรียมรองรับวันเปิดให้ถวายบังคมพระบรมศพ ขอทีวี วิทยุ ฉายเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ 30 วัน ขอความร่วมมือการจราจร สั่งสำนักปลัดนายกฯ ตั้งคณะกรรมการเกี่ยวกับการจัดพิธี กำลังพิจารณาร่วมสำนักพระราชวังให้ประชาชนเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวาย เวลาไหน ย้ำไม่เคยสั่งถอดพระบรมฉายาลักษณ์ แต่ต้องปรับใส่สัญลักษณ์ไว้อาลัย
วันนี้ (18 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 12.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อสั่งการในที่ประชุม ครม.ต่อเรื่องการเตรียมการระหว่างพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพและเรื่องที่เกี่ยวข้องว่า เรามีโอกาสได้พบกันในช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ในช่วงของความทุกข์โศก เศร้าโศก เสียใจ ก็อยากให้เอาความเศร้าโศกเสียใจเหล่านี้เป็นพลังให้แก่ประเทศไทยและคนไทยได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าจะเป็นเรื่องของการชี้แจงให้ทราบ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ตนได้ขอบคุณข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พลเรือนและเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายพระเกียรติยศให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนเป็นอย่างดีในทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักธุรกิจ นิสิต นักศึกษา นักเรียน ทุกคนได้เสียสละทรัพย์ส่วนตัวในรูปของสมาคม ทั้งหมดถือว่าเป็นพลังของคนไทยที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในระยะแรก อาจจะมีการขรุขระบ้าง รัฐบาลก็ต้องขออภัยด้วยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการอำนวยความสะดวกเรื่องอาหารการกิน ซึ่งในช่วงนี้ฝนตกก็เป็นห่วงประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตามที่มีพระราชบัณฑูรจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ให้มีการดูแลประชาชนไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในเรื่องความปลอดภัย การเดินทาง สุขภาพอนามัย อาหารการกินและที่พักในเรื่องที่พักคงต้องมีแผนงานเตรียมการในระยะต่อไป หลังจากที่เปิดให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าฯ กราบถวายบังคมพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.ก็ต้องเตรียมการรองรับด้วย ว่าประชาชนจะมาได้เท่าไหร่ และสามารถรับได้เท่าไหร่ ต้องหาที่พักและที่กินให้ด้วย ขณะนี้กำลังวางแผนร่วมกันระหว่างฝ่ายในกระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในกรณีที่หน่วยงานใดประสบปัญหาในการทำงาน หรือมีเรื่องสำคัญที่ควรรายงานรัฐบาล ทางรัฐบาลก็ได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าเราได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ 1111 วันนี้อำนวยการในเรื่องของพระราชพิธี ในเรื่องของกิจกรรมจะได้ไม่เกิดความสับสน ส่วนการทำงานปกติก็ดำเนินตามปกติไป ตรงนี้ทำเป็นพิเศษขึ้นมาก็ได้ทำงานมาตั้งแต่วันแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการ ศตส.
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอความร่วมมือสื่อโทรทัศน์และวิทยุใช้เวลาในช่วง 30 วันจนถึงวันที่ 13 พ.ย.นี้ ให้เน้นเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในแง่มุมต่างๆ และประชาชนมีส่วนร่วมอย่างไร อาจจะมีการสัมภาษณ์ความรู้สึก ประสบการณ์ที่ประทับใจให้มีการถ่ายทอดในโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถ่ายทอดพร้อมกันในช่วงเสด็จพระราชดำเนินในช่วงที่พ้นเวลาเหล่านั้นแล้ว อาจจะมีรายการปกติได้บ้าง แต่ก็ควรพิจารณาให้เหมาะสม ตนได้เน้นย้ำไปว่านำเรื่องที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ขับเคลื่อนไปด้วย เพราะรัฐบาลนี้ใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั้งสิ้น ในการบริหาราชการคือการนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การบริหารและไปสู่เป้าอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติซึ่งสอดคล้องกับสหประชาชาติและของเราในยุทธศาสตร์ โดยเมื่อพ้น 30 วันไปแล้วก็จะพิจารณาจัดรายการตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ขอขอบคุณสื่อมวลชน สื่อโทรทัศน์ วิทยุ ที่ให้ความร่วมมือมาตลอด อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการมุ่งหวังบังคับอะไรท่านเลย เพียงแต่ขอให้ใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด เดี๋ยวจะเกิดปัญหาในภายหลังได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในเรื่องการจราจรได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ตำรวจ ทหาร ต้องทำงานร่วมกัน มีศูนย์บูรณาการทั้งในพื้นที่ เช่น บริเวณสนามหลวง พระบรมมหาราชวัง หรือจุดสำคัญในที่ต่างๆ ก็ต้องมีการให้ข้อมูลข่าวสารให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นประชาชนจะเกิดความลำบากในการเดินทางมาแต่เราห้ามไม่ได้จริงๆ เพราะประชาชนทั้งหมดก็อยากมาถวายเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมพระบรมศพด้วยตัวเอง อยากมาทำความดีถวาย ฝนตกก็ยังมา ซึ่งก็มีแพทย์มาดูแลเรื่องสุขภาพประชาชน ในเรื่องการจราจรมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน การจราจรปกติทั่วไป ขบวนเสด็จ ขบวนประชาชนซึ่งมีผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ได้วางแผนแล้ว ได้แถลงไปเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ขอความร่วมมือด้วย อาจจะไม่สะดวกมากเรื่องการจอดรถ การจราจรต้องปรับใหม่ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นเต็มไปหมดไปไหนไม่ได้ เพราะคนมามหาศาล และจะต้องเตรียมแผนเมื่อสำนักราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมพระบรมศพ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรมได้เตรียมการเกี่ยวกับการสร้างพระเมรุโดยขอพระราชวินิจฉัยจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งได้มอบหมายให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพิจารณาและให้ส่วนราชการอื่นๆ ได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับเรื่องพิธีต่างๆ เตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมการแต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ให้เรียบร้อย เกี่ยวกับเรื่องการจัดพิธีทั้งหมด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องให้มีการชี้แจงประชาชนเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำออกพระนาม โดยการใช้ถ้อยคำภาษาที่เหมาะสม เป็นไปตามจารีตประเพณี การแต่งกาย การปฏิบัติในเวลาเข้าถวายบังคมพระบรมศพ ตลอดจนพิธีแสดงความจำนงของการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลถวาย ทั้งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่วมกันระหว่างสำนักพระราชวัง และรัฐบาลที่ต้องประสาน ว่าขั้นตอนไหน เวลาไหนที่จะเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนมีความสุขในการที่จะทำถวาย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยมีคำสั่งให้ถอดพระบรมฉายาลักษณ์ออกจากสถานที่ใดๆ อาจจะมีคนเข้าใจผิด แต่ได้สั่งการไปแล้วให้แก้ไขโดยเร็ว จะต้องไม่มีกรอบพระบรมฉายาลักษณ์ใดๆ ที่ว่างโดยเด็ดขาด ตนได้สั่งแก้ไขไปแล้ว รัฐบาลไม่ได้สั่งแต่เป็นไปตามพระราชบัณฑูร ที่ทรงรับสั่งมาว่าให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม เหมือนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงประทับอยู่ เพียงแต่ว่าถ้อยคำบางอย่างที่เคยเขียนไว้อาจจะต้องปรับเปลี่ยน เป็นโบ สัญลักษณ์ผ้าดำขาว แสดงความไว้อาลัย สิ่งที่ได้กำหนดไว้พระบรมฉายาลักษณ์ที่เป็นทางการที่ทรงฉลองพระองค์สีทอง ในระหว่างนี้มีรูปอะไรก็ติดไปก่อน การจะเอาพระบรมฉายาลักษณ์ออก จะเอาออกได้เมื่อมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ใหม่แล้ว อันถือเป็นการสั่งการทั้งประเทศไม่เคยมีคำสั่งให้เปลี่ยน คำเดิมที่เขียนว่า ทรงพระเจริญ หรือ ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา ก็อาจจะต้องเปลี่ยนในช่วงนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติตามนี้ให้เคร่งครัด