<ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’ 35 แนะทุกฝ่ายสรุปบทเรียนความรุนแรงบนความจริง ชี้การประนีประนอมทุกสีเป็นสิ่งจำเป็น ควรร่วมมือรัฐนำพาชาติสู่เป้าหมาย ติงรัฐฟังเสียงสะท้อนบ้าง ขอ คสช.ทบทวนสร้างความขัดแย้งเสียเอง ยิ่งโกง ยิ่งปกป้องพวก ยิ่งปรองดองยาก
วันนี้ (9 ต.ค.) นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา ’35 อดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวถึงวาระการรำลึกงานเดือนตุลาและสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ว่าเหตุการณ์จากอดีตย่อมเป็นบทเรียนเตือนใจอย่างดีที่ทุกฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงช่วยกันนำพาประเทศชาติสังคมไทยก้าวไปข้างหน้า ทุกฝ่ายต้องสรุปบทเรียนบนความเป็นจริงโดยเฉพาะความรุนแรงทางการเมืองทุกยุคสมัย ไม่ใช่เกิดจากฝ่ายรัฐทั้งหมด ผู้นำมวลชนมีส่วนสำคัญในการกำหนดทางทางการเคลื่อนไหวที่จะไม่นำไปสู่ความรุนแรง เพราะชีวิตของมวลชนต้องมาก่อน เมื่อเกิดบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาผู้นำมวลชนรับผิดชอบกันไหวหรือไม่ และเมื่อเข้าสู่อำนาจรัฐแล้ว ต้องปกป้องและรักษาเจตจำนงของมวลชน มิเช่นนั้นประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดก็ซ้ำรอยอีก
“สถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ การประนีประนอมความรู้สึกของประชาชน พรรคการเมือง มวลชนทุกกลุ่มทุกเสื้อสี เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสังคมไทยผ่านความขัดแย้งผ่านความรุนแรงมามากแล้ว ไม่มีฝ่ายใดถูกหรือผิดทั้งหมด ทุกฝ่ายจึงต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้สังคมไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง เปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้น แม้รัฐบาลชุดนี้จะมาจากรัฐประหารก็ตามทุกฝ่ายก็ต้องให้ความร่วมมือเพื่อนำประเทศสู่เป้าหมายให้ได้ แต่รัฐบาลก็ต้องฟังเสียงสะท้อนจากทุกฝ่ายเช่นกัน ความร่วมมือจึงจะเกิดขึ้นได้จริง” นายอดุลย์กล่าว
นายอดุลย์กล่าวว่า ความร่วมมือจะเป็นจริงได้อย่างไรถ้านายกรัฐมนตรีและผู้นำ คสช.เป็นผู้สร้างความขัดแย้งเสียเอง กว่าสองปีแล้วคงต้องขอให้ทบทวนอย่างจริงจังเสียที ในเมื่อพรรคการเมือง มวลชนทุกเสื้อสีได้มีฉันทามติร่วมกันประกาศตัวหยุดการขัดแย้งทางวาจาและการกระทำเพื่อสร้างสรรค์ความรักสามัคคีของสังคมไทยเพื่อปฏิรูปประเทศไปสู่ยุคใหม่ เหนือสิ่งอื่นใดเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยในวาระทรงครองราชย์ 70 ปี แต่บุคคลในรัฐบาลบางคนยังมีพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันแบบการเมืองเก่า ขณะที่ผู้นำรัฐบาลก็ใช้อารมณ์ ปกป้องพวกพ้องตัวเอง ยิ่งจะทำให้ความร่วมมือเกิดขึ้นได้ยาก จึงเป็นความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาลและ คสช. ต้องรีบดำเนินการลงมือปฏิบัติมิใช่แค่คำพูดหรือการสร้างภาพลักษณ์เพื่อเข้าสู่อำนาจหลังเลือกตั้ง