“ประยุทธ์” สั่งเร่งแก้ปัญหา “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ลั่นใช้ทุกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา
วันนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ช่วงหนึ่งว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร, ชาวขอนแก่น และ ชาวไทยทุกคน ที่ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลอง “วันท่องเที่ยวโลก 2559” ระหว่างวันที่ 26 - 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้ทราบว่า มีผู้นำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก 157 ประเทศทั่วโลก ได้เดินทางมาประชุมและเฉลิมฉลองในบ้านของเราในครั้งนี้ด้วย สำหรับในปีนี้นั้น รัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาในเรื่องของ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นปัญหาด้านการท่องเที่ยว ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งเป็นปัญหาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย มากว่า 40 ปีแล้ว เป็นทัวร์ที่บริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศ นำนักท่องเที่ยวจากประเทศตนเอง มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ผ่านบริษัทนำเที่ยวในไทย โดยบริษัทที่ส่งนักท่องเที่ยวมานั้นไม่จ่าย “ค่าทัวร์แฟร์ (Tour Fair)” ได้แก่ ค่าโดยสาร ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าทัวร์ และอื่น ๆ ให้กับบริษัทนำเที่ยวของไทย ได้มีการจัดโปรแกรมทัวร์ในลักษณะการพานักท่องเที่ยวไปชอปปิ้งในร้านค้าที่เป็น “นอมินี” เช่น ร้านจิวเวลรี, เครื่องหนัง, งานศิลปหัตถกรรม และอื่น ๆ เป็นต้น นะครับ ซึ่งโก่งราคาสินค้าสูงกว่าความเป็นจริง 10 - 100 เท่า การใช้บริการที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร รถโดยสาร ที่เป็นเครือข่ายเดียวกับบริษัททัวร์จากประเทศต้นทาง ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง ทั้งในวงการธุรกิจ และการเมือง รวมทั้งการจัดโปรแกรมทัวร์เสริม โดยบังคับให้ซื้อทัวร์เหล่านี้ เช่น ล่องแพ ขี่ช้าง เพิ่มเติม เป็นต้นด้วยวิธีการกดดัน ขู่เข็ญต่าง ๆ นานา เช่น มีการยึด Passport, ปิดแอร์รถ จอดรถจนกว่าจะยอมทำตามข้อตกลง หรือแม้กระทั่ง “ทิ้งลูกทัวร์” ในการทำทัวร์ลักษณะนี้ ส่งผล “เชิงลบ” โดยตรงต่อธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร ผู้ประกอบการ ท่องเที่ยว นำเที่ยว ร้านขายสินค้าที่ระลึกของไทย เนื่องจากมีการตั้งบริษัทนอมินีมาทำธุรกิจเหล่านั้นแทน ทำให้ประเทศไม่ได้รับรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งส่งผลกระทบข้างเคียง อาทิ นักท่องเที่ยวไม่ได้รับการดูแลที่ดีและถูกเอาเปรียบ เกิดการเข็ดขยาด ไม่มาเที่ยวประเทศไทยอีก ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยนั้น ก็จะไม่ได้รับค่าทัวร์แฟร์ จนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว อาจต้องปิดกิจการ รวมถึงสร้างความเสื่อมโทรมให้กับแหล่งท่องเที่ยวและทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากไม่สามารถจะควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวได้ เป็นต้น
นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหา “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ด้วยการบังคับใช้ทุกกฎหมายของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างตรงไปตรงมา เพื่อความถูกต้อง อาทิ พ.ร.บ. ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551, ระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ว่าด้วยมาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2556 เป็นต้น รวมทั้งบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านความมั่นคง ด้านกฎหมาย ด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ทุกมิติในคราวเดียวกัน โดยการทำการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมการท่องเที่ยว กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย - จีน เพื่อให้การบริหารจัดการในการแก้ไขปัญหา การประกอบธุรกิจนำเที่ยวตลาดจีน ซึ่งเป็นปัญหา “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มากที่สุด
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด แนวทางแก้ไข ก็ได้แก่ (1) การกำหนด “ราคากลาง” ขายทัวร์ที่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีการกำหนดต้นทุนที่ชัดเจน ตามกลไกตลาด เป็นการ “ชั่วคราว” ระหว่างที่รอกฎหมายลูก ซึ่งจะกำหนด “ราคาขั้นต่ำ” ของทัวร์ภายในปลายปีนี้ (2) อีกเรืองหนึ่งคือ การควบคุมการให้บริการนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพ อาทิ การกำหนดแบบรถทัวร์, คุณสมบัติไกด์ทัวร์, ตลอดจนรูปแบบของร้านค้าที่บริษัททัวร์นำนักท่องเที่ยวไปซื้อของได้ (3)การจัดทำโมเดลเส้นทางท่องเที่ยวมาตรฐาน โดยระบุสิ่งที่ทำได้และสิ่งที่ห้าม (4) มีการตรวจสอบทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยเพิ่มเติมการตรวจสอบใน “เชิงลึก” โดยเฉพาะที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทลูกข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการเสียภาษีและการฟอกเงิน เป็นต้น (5) ซึ่งเป็นมาตรการในระดับยุทธศาสตร์นะครับ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศ “ต้นทาง” โดยได้พูดคุยสร้างความเข้าใจ เพื่อแสวงหาความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน (CNTA) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีนะครับ เพราะฉะนั้นนักธุรกิจของเราก็คงจะต้องร่วมมือนะครับ ได้มีการจัดทำบันทึกลงนามความเข้าใจ (MOU) เพื่อการทำงาน “เชิงรุก” ร่วมกันในอนาคตต่อไป ผลจากการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง ก็อาจจะมีผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวระยะสั้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเป็นการรักษาภาพลักษณ์และคุณภาพของการท่องเที่ยวของไทย ที่สำคัญก็คือ ได้มีการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ก็จะเป็นการส่งเสริมให้การท่องเที่ยวของไทยนั้น มีความยั่งยืน เน้นคุณภาพ มากกว่าปริมาณ
นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชน เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยนั้น เราก็ไม่ได้ลืม รัฐบาลได้กำหนดให้มีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการ 2 มาตรการหลัก ก็คือ (1) มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ “เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย” ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อ สวัสดิการแห่งรัฐ ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานราชการแล้ว ธ.ก.ส. จะโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรโดยตรงนะครับ เป็นเงิน 3,000 บาทต่อคน สำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี และเป็นเงิน 1,500 บาทต่อคน สำหรับผู้มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทถึง 100,000 บาทต่อปีนะครับ รวมปัจจุบันผู้มีสิทธิทั้งสิ้นจำนวน 2.85 ล้านคนนะครับ (2)มาตรการต่อไปคือ มาตรการช่วยเหลือ “เกษตรกรรายย่อย” ผ่านระบบ ธ.ก.ส. เพื่อบรรเทาภาระ หนี้สิน ให้กลับมาทำการผลิตต่อไปได้ และสนับสนุน “เกษตรกรรุ่นใหม่” ที่เป็นทายาทให้เข้ามาทดแทนเกษตรกรรุ่นเก่าที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีหนี้สินต้นเงินกู้รายละไม่เกิน 300,000 บาท ประมาณ 3 ล้านราย ที่จะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 31 มีนาคม 2561 ได้แบ่งเป็น 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ “ปลดเปลื้อง” หนี้สิน ให้เกษตรกรที่มีเหตุผิดปกติ เช่น เสียชีวิต พิการ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นต้น นะครับ โครงการ “ปรับปรุง” โครงสร้างหนี้ และโครงการ “ลดภาระ” หนี้สิน ให้เกษตรกรที่มีวินัยและประวัติการชำระหนี้ดี โดย ธ.ก.ส. จะคืนดอกเบี้ยในส่วนที่ลูกค้าส่งชำระ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 31 ตุลาคม 2560 ในอัตราร้อยละ 30 ของจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระ ข้อมูลดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นประโยชน์แก่พี่น้องเกษตรกรรายย่อย ผมขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ช่วยกันประชาสัมพันธ์ขยายผล ให้พี่น้องเกษตรกรได้รับทราบโดยทั่วกันนะครับ จะได้ไม่เสียสิทธิที่พึงมีพึงได้ไป รวมทั้งโครงการและสวัสดิการอื่น ๆ ด้วยนะครับ ขอให้พี่น้องเฝ้าติดตามข่าวสารการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งก็ล้วนแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ไม่วันนี้ ก็วันหน้า
คำต่อคำ : รายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" วันที่ 30 กันยายน 2559
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชย์สมบัติครบ 70 ปี ในปี 2559 นี้ ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์อื่นใดในประวัติศาสตร์โลกนะครับ รัฐบาลโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในฐานะสื่อของรัฐได้จัดทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติชุดยิ่งใหญ่ ชื่อว่า "สายธารพระราชไมตรี" ซึ่งนำเสนอพระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเปิดตัวประเทศไทยต่อประชาคมโลก และเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาชาติ นับตั้งแต่ปี 2502 รวมทั้งสิ้น 29 ประเทศทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และทวีปออสเตรเลีย เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติได้ประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพ และพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสร้างความประทับใจแก่ชาวโลก และทรงได้รับการถวายการต้อนรับจากผู้นำของแต่ละประเทศอย่างสมพระเกียรติ
ทราบว่าสารคดีชุดนี้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการรวบรวมข้อมูล และหลักฐานต่างๆ ทั้งภาพถ่าย ภาพวาด ภาพเคลื่อนไหว ตลอดจนสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทีมงานได้เดินทางไปตามรอยพระยุคลบาทครบทุกประเทศ ทุกเมือง และทุกสถานที่ จึงนับได้ว่าเป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ ที่ผมอยากให้คนไทยรวมทั้งเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เห็น เนื่องจากหาดูได้ยากในปัจจุบัน โดยสารคดี“สายธารพระราชไมตรี” ชุดนี้ กำหนดออกอากาศให้คนไทยได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จำนวน 52 ตอน ตอนละ 20 นาที พี่น้องประชาชนสามารถติดตามชมได้ตามรายละเอียดด้านล่างของจอภาพ
ทั้งนี้ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศต่างๆ และนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยน แบ่งปัน ช่วยเหลือ และร่วมมือทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนการท่องเที่ยวมาจนถึงปัจจุบัน
โดยในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชน สมัยสามัญครั้งที่ 71 ณ สำนักใหญ่แห่งสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาที่ผ่านมานั้น ได้มีผู้นำประเทศหลายท่าน ได้แสดงน้ำใจสอบถามกระผม เกี่ยวกับพระอาการของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งผมเห็นว่าชาวต่างชาตินั้น มีความเข้าใจ และรับรู้ถึงความสำคัญ และความผูกพันของสถาบันพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรชาวไทย รวมทั้งบทบาทของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ อาทิ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ให้เข้าเฝ้าถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ตามโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ เมื่อได้รับการกล่าวขานและยกย่องมาจนถึงปัจจุบัน หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีคุณูปการต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทำให้นานาประเทศที่ตื่นตัวได้ปรับคู่การพัฒนาภายใต้แนวคิดใหม่นี้ ซึ่งได้บ่งชี้ถึงแนวทางการพัฒนาที่เน้นความสมดุล ความพอประมาณ และความมีเหตุผล ประกอบกับสำนึกในคุณธรรม และการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี เพื่อต้านทานและลดผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จากกระแสโลกาภิวัฒน์ ก็นับได้ว่าเป็นหลักการที่สำคัญที่รัฐบาลปัจจุบันได้พร้อมนำมาใช้ ในการบริหารราชการแผ่นดินตลอด 2 ปีที่ผ่านมาอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหาของประเทศ และประชาคมโลกที่สร้างความยั่งยืน เช่น ปัญหาผู้ลี้ภัยและการเคลื่อนย้ายที่ไม่ปกติ ปัญหาโลกร้อน และปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น
วันนี้มีเรื่องที่น่ายินดี นับเป็นความสำเร็จของประเทศ เกี่ยวกับการพัฒนาพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน ผมขอชื่นชมกลุ่มผู้ประกอบการด้านพลังงานที่สามารถคว้ารางวัลอาเซียน เอนเนอร์ยี่อวอร์ด 2016 ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 34 ณ ประเทศเมียนมาร์ จำนวน 16 รางวัล จากทั้งหมด 47 รางวัล นับว่ามากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยครองแชมป์ได้รับรางวัลมากที่สุด 12 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนได้หนุนพลังงานสีเขียว และสร้างพลังงานทดแทน และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย ด้วยความสมัครใจในรูปแบบต่างๆ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการที่เราจะก้าวเข้าสู่สังคมสีเขียว โดยพลังงานสะอาดภายใต้แผนการพลังงานในกรอบของอาเซียน ซึ่งกำหนดเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้พลังงานหมุนเวียน ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันนั้นรัฐบาลก็ได้ปรับปรุงแผนพัฒนาทดแทนพลังงานทางเลือก พ.ศ.2558 - 2579 ซึ่งกำหนดเป้าหมายลดสัดส่วนในการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 30 ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของปี 2579 และแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2558 - 2579 ที่ตั้งเป้าหมายลดสัดส่วนการใช้พลังงานต่อจีดีพีของประเทศอย่างน้อยร้อยละ 30 ภายใน 20 ปีข้างหน้า ด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้รองรับกับการที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีส ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทีเรียกว่า COP 21 ซึ่งแต่ละประเทศได้ตกลงร่วมกันว่าจะมุ่งมั่นในการรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกในอนาคต
อีกเรื่องที่น่ายินดีคือผลการสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางของโลก โดยมาสเตอร์การ์ด ประจำปี 2559 ที่จัดอันดับให้กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของเราได้ขึ้นแท่นอันดับ 1 เป็นเมืองหลวงที่มีผู้เดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลก หลังจากที่เราอยู่ในอันดับ 2 มา 2 ปีติดต่อกัน ปีที่ผ่านมานั้น กรุงเทพฯ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเกือบ 22 ล้านคน มากกว่าลอนดอนเมื่อปีที่แล้ว และกรุงปารีส ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนเกือบ 20 ล้านคน ทั้งนี้ จุดเด่นของกรุงเทพฯ คือตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งเป็นฮับของประเทศ และภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้า อาหาร วัฒนธรรม ความบันเทิง และการเดินทางที่สะดวก เป็นต้น แม้ว่าความสำเร็จในเชิงปริมาณจะเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ผมอยากเห็นโอกาสในการพัฒนาเพื่อจะมุ่งไปสู่ความสำเร็จเชิงคุณภาพควบคู่ไปด้วย เช่น การสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาท่องเที่ยวให้นานขึ้น มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น รวมทั้งพัฒนามาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว การบริการ การอำนวยความสะดวก การดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร ชาวขอนแก่น ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองวันท่องเที่ยวโลก 2559 ระหว่างวันที่ 26-29 กันยายนที่ผ่านมา ก็ได้ทราบว่ามีผู้นำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมาจาก 157 ประเทศทั่วโลก ได้เดินทางมาร่วมประชุมและเฉลิมฉลองในบ้านของเราครั้งนี้ด้วย
สำหรับในปีนี้นั้น รัฐบาลตั้งเป้าหมายสร้างรายได้ จากการท่องเที่ยวประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาในเรื่องของทัวร์ 0 เหรียญ ซึ่งเป็นปัญหาด้านการท่องเที่ยวในหลหายประเทศทั่วโลก รวมทั้งเป็นปัญหาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยมากว่า 40 ปี เป็นทัวร์ที่บริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศ นำนักท่องเที่ยวมาจากประเทศตนเอง มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ผ่านบริษัทนำเที่ยวในไทย โดยบริษัทที่ส่งนักท่องเที่ยวมานั้นไม่จ่ายค่าทัวร์แฟร์ ได้แก่ ค่าโดยสาร ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าทัวร์ และอื่นๆให้กับบริษัทนำเที่ยวของไทย ได้มีการจัดโปรแกรมนำทัวร์ พูดง่ายๆ โดยการพานักท่องเที่ยวไปช็อปปิงในร้านค้าที่เป็นนอมินี เช่น ร้านจิวเวอรี ร้านเครื่องหนัง ศิลปหัตถกรรม และอื่นๆเป็นต้น ซึ่งได้โก่งราคาสินค้าสูงกว่าความเป็นจริง 10-100 เท่า การใช้บริการที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร รถโดยสาร ที่เป็นเครือข่ายบริษัทเดียวกับทัวร์จากประเทศต้นทาง ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังทำให้วงการธุรกิจและการเมือง รวมทั้งการจัดโปรแกรมทัวร์เสริมโดนบังคับให้ซื้อทัวร์เหล่านี้ เช่น ล่องแพ ขี่ช้าง เพิ่มเติมเป็นต้น ด้วยวิธีการกดดัน ขู่เข็ญ ต่างๆ นานา เช่นมีการยึดพาสสปอร์ต ปิดแอร์รถ จอดรถ จนกว่าจะยอมทำตามข้อตกลง หรือแม้กระทั่งทิ้งลูกทัวร์ ในการทำแบบนี้ส่งผลในเชิงลบโดยตรงต่อธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร ทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว นำเที่ยว ร้านขายสินค้า ของที่ระลึกของไทย เนื่องจากมีการตั้งบริษัทนอมินีทำธุรกิจเหล่านี้แทน ทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งที่มีผลกระทบข้างเคียง เช่น นักท่องเที่ยวไม่ได้รับการดูแลที่ดี ถูกเอาเปรียบ เกิดการเข็ดขยาด ไม่มาท่องเที่ยวประเทศไทยอีก ผู้ประกอบการท่องเที่ยวของไทยนั้น ก็จะไม่ได้รับค่าทัวร์แฟร์ ทนแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหวอาจจะต้องปิดกิจการรวมถึงการสร้างความเสื่อมโทรมให้กับแหล่งท่องเที่ยวและทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากไม่สามารถจะควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวได้ ปัจจุบันรัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหา เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย การบังคับใช้กฎหมายของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมา เพื่อความถูกต้อง เช่น พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 ระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ว่าด้วยมาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ พ.ศ 2556 เป็นต้น รวมทั้งบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้านความมั่นคง ด้านกฎหมาย ด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจรทุกมิติในคราวเดียวกัน ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเป็น mou ระหว่างการท่องเที่ยว กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมมัคคุเทศก์แห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อให้การบริหารจัดการแก้ไขปัญหาลงได้ และจัดทำโมเดลเส้นทางท่องเที่ยวมาตรฐาน โดยระบุสิ่งที่ทำได้และต้องห้าม มีการตรวจสอบทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยเพิ่มเติมการตรวจสอบในเชิงลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข่าวชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทลูกข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องการเสียภาษีและการฟอกเงินเป็นต้น ซึ่งเป็นมาตรการในระดับยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศกับประเทศต้นทาง โดยได้พูดคุยสร้างความเข้าใจเพื่อแสวงหาความร่วมมือกับองค์การการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นักธุรกิจของเราคงจะต้องร่วมมือนะครับ ได้บันทึกการกระทำลงนาม mou เพื่อการทำงานเชิงรุกร่วมกันในอนาคตต่อไป เพิ่อจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง อาจจะมีผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากจีนอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์และคุณภาพของการท่องเที่ยวของไทยที่สำคัญ คือได้มีการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่แล้วจะเป็นการส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยนั้น มีความยั่งยืน และมีคุณภาพมากกว่าปริมาณ
สำหรับการดูแลทุกข์สุขพี่น้องประชาชน เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยนั้น เราก็ไม่ได้ลืมนะครับ รัฐบาลกำหนดให้มีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อย มุ่งหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการ 2 มาตรการคือ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึงวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานราชการแล้ว ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรโดยตรงนะครับ เป็นเงิน 3,000 บาทต่อคน สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี และเป็นเงิน 1,500 บาทต่อคน สำหรับผู้มีรายได้มากกว่า 30,000 ถึง 1 แสนบาทต่อปี จำนวนรวมปัจจุบันผู้มีสิทธิ์ทั้งสิ้นจำนวน 2.85 ล้านคน
มาตรการต่อไปเพิ่มมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยผ่านระบบ ธ.ก.ส. เพื่อบรรเทาภาระหนี้สินให้กลับมาทำการผลิตต่อไปได้ และสนับสนุนเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นทายาทแทนเกษตรกรรุ่นเก่าที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกรรายย่อย หนี้สินต้นเงินกู้รายละไม่เกิน 100,000 บาท ประมาณ 3 ล้านราย ที่จะดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 31 มีนาคม 2561 ได้แบ่งเป็น 3 โครงการได้แก่ โครงการปลดเปลื้องหนี้สินให้แก่เกษตรกรที่มีเหตุผิดปกติ เช่น เสียชีวิต พิการ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นต้น ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และลดภาระหนี้สินให้เกษตรกรที่มีวินัยและชำระหนี้ดี โดย ธ.ก.ส.จะคืนดอกเบี้ยในส่วนที่ลูกค้าส่งชำระระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 31 ตุลาคม 2560 ร้อยละ 30 ของจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระ ข้อมูลดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรรายย่อย ผมขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ขยายผลให้พี่น้องเกษตรกรได้รับทราบโดยทั่วกัน จะได้ไม่เสียสิทธิที่พึงมีพึงได้ รวมทั้งโครงการรับสมัครงานอื่นๆ ด้วย ขอให้พี่น้องเฝ้าติดตามข่าวสารจากหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ไม่วันนี้ก็วันหน้านะครับ วันหน้าเราก็คงต้องเปิดการลงทะเบียนใหม่เพิ่มเติม
สำหรับตลาดคลองผดุงกรุงเกษมประจำเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมานั้น เป็นตลาดเกษตรดิจิตอล ผมได้รับรายงานว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นับว่าได้รับความนิยมสูงสุด มีคนมาวันละ 8,000 - 9,000 คน บางวันมากกว่า 10,000 คน พ่อค้าแม่ค้าก็ขายดี บางคนก็ปลดหนี้ได้ บางคนพัฒนาต่อยอด สามารถมีเงินไปสร้างโรงงานเล็กๆ มีคนงานมากขึ้น โดยมีเอสเอ็มอีแบงก์ให้ความรู้ในการจัดทำแผนธุรกิจ นอกจากนั้น มีหลายกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การสอนนุ่งผ้าซิ่น ผ้าไทย ให้ดูสวยและทันสมัย โดยเฉพาะวันอังคาร ผมเห็นข้าราชการในพื้นที่ทำเนียบฯ เดินจ่ายตลาดช่วงพักเที่ยง ช่วงหลังเลิกงาน ดูงดงามน่ามองนะครับ เป็นไทยแท้ๆ บางคนก็มี นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติขอถ่ายรูปด้วย เพราะเขาเห็นว่ามันสวยแปลกตา แต่พวกเราเห็นกันมานาน อาจจะรู้สึกเฉยๆ
สำหรับเดือนตุลาคมนี้ กระทรวงคมนาคมกำหนดจัดงานตลาด "คลองผดุงสุขใจคมนาคม เชื่อมไทย เชื่อมโลก" ระหว่างวันที่ 5 - 25 ตุลาคม ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ระหว่างเวลา 10.00 - 19.00 น. นอกจากจะมีสินค้าชุมชนเช่นเดิมแล้ว ยังมีบูธบริการของกรมการขนส่งทางบกให้บริการเกี่ยวกับใบอนุญาตต่างๆ และการชำระภาษี การจำหน่ายบัตรรถโดยสารราคาพิเศษ ทั้งเครื่องบิน รถไฟ รถไฟฟ้า ทางด่วน เรือท่องเที่ยว รวมทั้งนิทรรศการด้านความปลอดภัยในการเดินทาง และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทุกระบบ เป็นต้น
ผมขอเชิญชวนประชาชนและผู้ที่สนใจได้มาร่วมงานดังกล่าวด้วย รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเฟซบุ๊กตามจอด้านล่าง (https://www.facebook.com/khlongphadungkrungkasem/)
เนื่องในโอกาสเกษียณอายุราชการประจำปี 2559 ผมขอให้ผู้ที่เกษียณอายุราชการทุกท่านซึ่งล้วนเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณ รับใช้ประเทศชาติ ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ด้วยอุดมการณ์ ความรู้ความสามารถ ความมุ่งมั่นและตั้งใจมาโดยตลอด ผมขอให้ทุกท่านได้ภูมิใจในอาชีพข้าราชการ ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งใดก็ตาม แม้วันพรุ่งนี้ท่านจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว ผมก็เชื่อว่าความรู้และประสบการณ์ของท่านยังจะคงเป็นคุณูปการต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัว หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
สุดท้ายนี้ สัปดาห์หน้าช่วงวันที่ 1 - 9 ตุลาคม เป็นช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งคงไม่ใช่เพียงการไม่กินเนื้อสัตว์ และหันมากินพืชผัก ผลไม้ เพื่อให้กระเพาะได้พักจากการย่อยเนื้อสัตว์ ซึ่งย่อยยาก มารับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ ช่วยการระบาย เป็นต้น หากแต่คนที่กินเจยังคงต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันงาม ดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ ด้วยการถือศีล บำเพ็ญธรรมไปพร้อมกันด้วย ผมถือว่าการถือศีลกินเจนั้นเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง อิ่มเอิบทั้งร่างกายและจิตใจ
ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนได้มาช่วยกันทำเพื่อตัวเอง ชำระร่างกาย จิตใจของเรา แล้วก็มีผลไปถึงคนอื่นด้วย โดยการกินเจช่วง 9 วัน 9 คืน นอกจากนั้น ยังจะเป็นการส่งเสริมการกินผักและสนับสนุนสินค้าการเกษตรของเราอีกด้วย ทั้งนี้ ผมขอความร่วมมือพ่อค้าแม่ขายช่วยกันรักษาระดับสินค้า ราคาอย่าให้สูงมากนัก ให้เป็นไปตามกลไกตลาดปกติ อย่าฉวยโอกาส อย่าได้ขึ้นราคาในช่วงดังกล่าวเลย เดือดร้อนกันไปทั้งหมด เราก็จะได้ร่วมบุญกุศลไปพร้อมๆ กัน ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ