อดีต สปช.ไพบูลย์ ยื่นหนังสือผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอวินิจฉัยปมกรมสรรพสามิตไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ละเว้นเรียกเก็บภาษีเพิ่มจาก “สมเด็จช่วง” แต่กลับไปเก็บที่เจ้าของอู่แทน งงไม่เช็กประเด็นมีคนปลอมลายเซ็นเจ้าของโรงงาน จี้ตั้งกรรมการสอบเจ้าหน้าที่
วันนี้ (20 ก.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เข้ายื่นหนังสือต่อประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้วินิจฉัยการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของกรมสรรพสามิตและเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต เนื่องจากอาจมีการละเว้นไม่ดำเนินการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมจากสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) หรือสมเด็จช่วง ในฐานะผู้ครอบครองรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต
นายไพบูลย์กล่าวว่า จากสำเนาเช็คบัญชีชื่อสมเด็จช่วงมีการสั่งจ่ายเงิน 1 ล้านบาท เป็นค่ารถเบนซ์ให้กับภรรยาของนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ประกอบด้วยคำขอโอนและรับโอนรถเบนซ์ที่ลงนามผู้รับโอนโดยสมเด็จช่วง คำขอจดทะเบียนรถลงนามยื่นคำขอโดยสมเด็จช่วงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และทะเบียนรถเบนซ์ ขม 99 ลงนามโดยสมเด็จช่วงเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งเป็นการยื่นขอจดทะเบียนเป็นชื่อแรก ทั้งหมดถือเป็นหลักฐานการครอบครองรถของสมเด็จช่วง แต่กรมสรรพสามิตกลับดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวไปยังนายวิชาญ ให้ชำระภาษีเป็นเงิน 6,864,000 บาท ซึ่งนายวิชาญได้ยื่นเรื่องขอคัดค้านเพราะไม่ใช่บุคคลตามกฎหมายที่กำหนดให้ต้องไปยื่นเสียภาษี หรือต้องรับผิดชอบชำระค่าภาษี การที่กรมสรรพสามิตเรียกเก็บภาษีจากนายวิชาญ จึงอาจจะส่อว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เรียกเก็บภาษีพร้อมเบี้ยปรับจากสมเด็จช่วงในฐานะผู้ครอบครองรถตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต มาตรา 161 (1) ใช่หรือไม่
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า รถคันดังกล่าวมีการยื่นเสียภาษีครั้งแรกโดยนางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม N.P.การาจ ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนถูกต้อง เมื่อมีกรณีการเสียภาษีไม่ครบถ้วนก็จะต้องเรียกเก็บจากผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม และเป็นผู้ยื่นคำขอเสียภาษีเดิม ซึ่งเคยมีการยื่นเสียภาษีไป 570,000 บาท เป็นราคาต่ำ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตที่รับจดแจ้งไม่สังเกตอะไรหรือ อีกทั้งจากการสอบสวนทราบว่ามีผู้ปลอมแปลงลายมือชื่อของนางกาญจนา เจ้าหน้าที่ก็ไม่ตรวจสอบเลยหรือ ตามหลักกฎหมายแล้วกรมสรรพสามิตต้องดำเนินการเรียกเก็บภาษีจากผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว และต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ดังนั้นจึงขอให้ผู้ตรวจการฯ พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่ากรมสรรพสามิตและเจ้าหน้าที่มีการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือไม่อย่างไร เพราะการที่หน่วยราชการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วหาทางหลีกเลี่ยงให้ ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อสังคม