“กรุงเทพโพลล์” สำรวจนักเรียน ม.ปลาย 71% เห็นด้วยต่อการเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย เชื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมในการสอบได้ แต่จะส่งผลกระทบต่อการเตรียมตัวสอบ และกังวลว่าสอบครั้งเดียวไม่มีโอกาสแก้ตัว ทำให้มีโอกาสสอบติดน้อย
เนื่องด้วยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติปรับเปลี่ยนวิธีคัดเลือกนิสิต นักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัย แทนระบบแอดมิชชัน ในปีการศึกษา 2561 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง “นักเรียน ม.ปลายคิดอย่างไร กับการเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2561” โดยเก็บข้อมูลจากเยาวชนที่เรียนอยู่ชั้น ม.4-ม.6 ในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,218 คน
ผลสำรวจพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 89.2 ทราบแล้วว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2561 แทนระบบแอดมิชชัน ขณะที่ร้อยละ 10.8 ยังไม่ทราบ
โดยนักเรียน ม.ปลายร้อยละ 71.8 เห็นด้วยว่า สามารถลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมในการสอบระหว่างนักเรียนที่มีฐานะทางบ้านดีกับนักเรียนที่มีฐานะทางบ้านด้อยกว่าได้ รองลงมาร้อยละ 66.1 เห็นด้วยว่า สามารถแก้ปัญหาเรื่องการเสียค่าใช้จ่ายในการสอบหลายครั้ง และร้อยละ 63.0 เห็นด้วยว่าสามารถแก้ปัญหาเด็กเก่งสอบตรงติดหลายที่ทำให้ไปกันที่ของเด็กคนอื่นๆ
ทั้งนี้ นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 53.5 ระบุว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบดังกล่าวมีผลต่อการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะทำให้ต้องวางแผนการอ่านหนังสือใหม่ทั้งหมด ไม่รู้แนวข้อสอบ ขณะที่ร้อยละ 46.5 ระบุว่าไม่ส่งผลกระทบ เพราะมีเวลาเตรียมตัวทันอยู่แล้ว ทุกคนจะได้เท่าเทียมกัน ไม่ต้องสอบหลายครั้ง
ส่วนเรื่องที่กังวลมากที่สุดเมื่อเปลี่ยนรูปแบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยนั้น ร้อยละ 47.0 ระบุว่าไม่มีโอกาสสอบแก้ตัวเพราะสอบเพียงครั้งเดียว รองลงมาร้อยละ 25.5 ระบุว่าโอกาส/ตัวเลือกในการสอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐน้อยลง และร้อยละ 12.9 ระบุว่าไม่ทราบสูตร/เกณฑ์การคิดคะแนนสอบของแต่ละมหาวิทยาลัย
เมื่อถามถึงหลักเกณฑ์ที่ใช้เลือกมหาวิทยาลัยที่จะศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของรัฐ นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 66.7 ระบุว่า เลือกคณะที่ชอบและอยากเรียนเป็นหลัก รองลงมาร้อยละ 20.4 ระบุว่าเลือกสถาบันที่ชอบเป็นหลัก และร้อยละ 6.5 ระบุว่า เลือกคณะใดก็ได้ที่มีคะแนนถึง
สำหรับความเห็นต่อการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยด้วยระบบใหม่ ในปีการศึกษา 2561 ว่าจะนำไปสู่การพัฒนาระบบการเรียนการสอนของไทยได้หรือไม่นั้น ร้อยละ 28.6 คิดว่าได้ ขณะที่ร้อยละ 23.2 คิดว่าไม่ได้ และมีถึงร้อยละ 48.2 ระบุว่าไม่แน่ใจ
ทั้งนี้ เรื่องที่คิดว่าการศึกษาไทยควรแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุดคือควรลดเนื้อหาที่ไม่จำเป็น ลดทฤษฎี เพิ่มการปฏิบัติและการนำไปใช้ได้จริง (ร้อยละ 23.2) รองลงมาคือ ประสิทธิภาพในการสอนผู้สอน การใช้สื่อและเทคนิคในการสอนของครูเพื่อสื่อให้นักเรียนเข้าใจ (ร้อยละ 17.5) และควรสอบเท่าที่จำเป็น ออกข้อสอบถูกต้องมีมาตรฐาน ไม่ควรเกินจากหลักสูตรที่เรียน (ร้อยละ 17.2)