“บิ๊กป้อม” เรียกประชุมด่วนหน่วยงานด้านความมั่นคง หลังเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ภาคใต้ บอกยังไม่ชี้ชัดว่ามาจากสาเหตุใด ส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว ยันต้องทำให้ประเทศเกิดความสงบ และจับคนร้ายให้ได้ ขอประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุระเบิดที่จ.ตรังและที่อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่าได้รับรายงานทั้ง 2 จุดเมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว และได้รับรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ลงในพื้นที่เข้าไปดูสาเหตุว่าระเบิดเกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งเราก็ยังไม่มีความชัดเจน ฉะนั้นยังบอกไม่ได้ ซึ่งเหตุระเบิดดังกล่าวลามมาในช่วงกลางคืน เกิดเหตุระเบิดที่ อ.หัวหินอีก 2 ที่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ส่วนที่ 2 มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวมทั้งทั้งหมด 23 คน เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงได้ลงพื้นที่ จ.ตรัง และ อ.หัวหิน เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน ตนไม่ได้บอกสาเหตุเนื่องมาจากอะไร แต่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนที่เราจะต้องพิจารณาดูว่า อะไรที่เกิดขี้นในขณะนี้อาจจะมีได้หลายสาเหตุหรืออาจจะมีสาเหตุมาจากท้องถิ่น แต่สำหรับเหตุการณ์ที่จะลามมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นตัดทิ้งไป ตนยืนยันว่าไม่ใช่ ให้น้ำหนักไปในเรื่องอื่นมากกว่า
“ผมจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ตอนนี้ได้สั่งการไปแล้ว และจะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เบื้องต้นได้พูดคุยเมื่อคืนวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ผมมั่นใจว่าเราจะต้องทำให้เกิดความสงบให้ได้ และจะต้องจับกุมตัวคนก่อเหตุให้ได้ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังทำงานอยู่ ขอให้ไว้ใจเจ้าหน้าที่ เราสามารถดูแลสถานการณ์ได้”
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายจุดเป็นขบวนการเดียวกันหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า แน่นอนเป็นขบวนการเดียวกัน ตนเชื่อมั่นอย่างนั้น แต่เรายังไม่สรุปชัดเจนว่ามาจากทางไหน ใครเป็นคนทำและทำเพราะอะไร จะต้องมีสาเหตุในหลายๆ เรื่อง ทางเจ้าหน้าที่ต้องไปรวบรวมหลักฐาน แต่สาเหตุที่อยู่ในปัจจุบัน คือ คนเหล่านี้ต้องการไม่ให้เกิดความสงบขึ้นในประเทศไทย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดความสงบ เราจะต้องหาทางดำเนินการและตนจะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนของเรานั้นมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ขอให้ประชาชนทุกคนมั่นใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการข่าวได้มีการแจ้งเตือนหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เรื่องของการข่าวมีการแจ้งเตือนแต่ยังไม่ชัดเจน ตนจะขอคุยกับหน่วยข่าวต่างๆ ก่อนซึ่งหน่วยข่าวลงพื้นที่อยู่แล้ว แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ส่วนในพื้นที่ กทม.นั้นตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกส่วนดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรักษาความปลอดภัยในแต่ละพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้ดูแลในพื้นที่ อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเป็นหูเป็นตาช่วยเจ้าหน้าที่อีกทาง
ส่วนเรื่องเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นช่วงเช้ามืดวันเดียวกันนี้ที่ จ.ตรัง ขออย่าไปโยงสาเหตุต่างๆ มารวมกัน เพราะไม่น่าจะใช่สาเหตุเดียวกัน จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่จะทำให้ดีที่สุด
ต่อข้อถามว่าเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการทำประชามติ ฝ่ายความมั่นคงมองอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง หรืออาจเป็นเรื่องของการเมือง หรืออื่นๆ ตนยังไม่รู้และยังไม่สามารถยืนยันได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน และให้มีตัวบุคคลก่อนจึงจะบอกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ด้าน พล.ต.คงชีพ ตันตระวานิช โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในวันนี้ (12 ส.ค.) พล.อ ประวิตร เรียกประชุมหน่วยความมั่นคงพร้อมหน่วยข่าวติดตามความคืบหน้าเหตุลอบวางระเบิดในหลายจังหวัดของภาคใต้ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในกรมทหารราบที่1รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เพื่อสรุปหาสาเหตุในการก่อเหตุดังกล่าว พร้อมประเมินสถานการณ์ รวมทั้งวางแผนดูแลรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว และหลังจากประชุมเสร็จแล้ว ะชี้แจงรายละเอียดให้ทราบอีกครั้ง พร้อมไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวในมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด
ส่วน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.ว่า ในช่วงนี้อยู่ในช่วงบ้านเมืองต้องการความสงบ คงมีคำถามจากสังคมว่ามีใครหรือทำไมถึงใจร้ายกับประเทศเช่นนี้ เชื่อว่าการสร้างสถานการณ์ดังกล่าวจะถูกสังคมปฏิเสธและไม่ควรมาอยู่ร่วมในสังคมไทย
อย่างไรก็ตาม ขอให้เชื่อมั่น คสช.และรัฐบาลจะเร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยไม่ยอมให้ผู้ที่ไม่หวังดีและคิดร้ายกับประเทศและประชาชนมาทำอะไรเพียงเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวหรือพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดแก่ประชาชนและประเทศชาติเป็นอันขาด
“ผู้บังคับบัญชาเสียใจต่อเหตุการณ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บ และเร่งสืบสวนติดตามหาผู้ที่กระทำมาเข้าสู่กระบวนการให้ได้โดยเร็ว พร้อมกับสั่งการให้ กกล.รส.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง รวมถึงกำลังในส่วนภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพิ่มความระมัดระวัง บริหารจัดการแต่ละพื้นที่ให้ดีที่สุด และขอความร่วมมือประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตามาร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการดูแลสังคมให้มีความเรียบร้อย แสดงพลังเพื่อปฏิเสธขจัดคนไม่ดีออกไปจากสังคมไทยด้วยกัน”