“บิ๊กตู่” เรียก ร.ต.อ.ที่แจ้งความถูกเรียกรับเงินวิ่งเต้นมาคุย ติงพูดส่งเดชกลับลำไปมาไม่ได้ ยันไม่ต้องตั้งศูนย์ส่งกลับแรงงานต่างด้าว มีหน่วยงานดูแลอยู่ ให้รอพิสูจน์เหตุเรือไทยชนเรือเวียดนาม ย้ำผิดก็คือผิด มองปัญหาทะเลจีนใต้ เรื่องของคู่ขัดแย้ง เก็บความเห็นไว้ก่อน แจงปมงบฉาว กทม.มีขั้นตอนตรวจสอบ ยังไม่ถึงมือ ศอตช. ไม่จำเป็นต้องใช้ ม.44
วันนี้ (12 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.ชาญชาย เย็นสุข รองสารวัตรจราจร สน.นิมิตรใหม่ แจ้งความระบุถูก ร.ต.อ.ชนินท์ธัช รัตน์ชิโนตรัย รอง สวป.สน.บางรัก เรียกรับเงิน 7 แสนบาท เพื่อวิ่งเต้นขึ้นเป็นสารวัตรแต่ไม่เป็นผลว่า “กำลังสอบอยู่ ให้เขาสอบแล้วก็มาแจ้งมาหาผมที่ทำเนียบฯ ร้อยตำรวจเอกอะไรนั่นมาไม่ต้องไปกลัวใครทั้งนั้น มาหาผมจัดการให้ ตอนนี้สอบไปสอบมาไม่ใช่อีก เจ้าตัวออกมาปฏิเสธอีก มันอะไรกันนักหนาผมไม่เข้าใจ ไปเรียกมาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเขาดำเนินการอยู่แล้ว มันจะไปพูดส่งเดชไม่ได้ ถ้าไปพูดแล้วบอกอยู่ดีๆ ไม่ได้พูดหรือพูดแล้วไม่เข้าใจ แล้ววันนี้เข้าใจแล้ว พูดอย่างนี้ไม่ได้ เป็นข้าราชการพูดกลับไปกลับมาไม่ได้ สั่งการไปแล้วให้เรียกตัวมาสอบสวน ใครเรียกเงินไปหาตัวคนเรียกเงินมา เดี๋ยวก็เจอ ผมไม่ปล่อยอยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีตั้งศูนย์แรกรับเข้าทำงานและส่งกลับแรงงานต่างด้าวว่า วันนี้ทางกระทรวงแรงงานรับผิดชอบอยู่ มีการตั้งศูนย์วันสต็อปเซอร์วิสที่ขึ้นทะเบียนกว่า 2 ล้านคน ต้องมาดูว่าจะมีการพิสูจน์สัญชาติได้อย่างไร เพราะพิสูจน์สัญชาติต้องเอาคนจากต้นทางมาพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์ไม่ทันต่ออายุทุก 6 เดือนมันเสียเวลา และทำให้ย้ายที่ทำงานไม่ได้ มันจึงเป็นบ่อเกิดของการทุจริต การรับผลประโยชน์ตนไม่อยากให้เกิดขึ้น วันนี้มีการหารือกับประเทศรอบบ้านว่าควรจะต้องมีการตรวจสอบสัญชาติก่อนเข้ามาประเทศไทย โดยเขาเป็นคนรับรองเองซึ่งเขารับปากแล้ว วันนี้กำลังแก้ของเก่าว่าจะทำอย่างไร เขาต้องเพิ่มชุดการตรวจสอบสัญชาติซึ่งหลายประเทศมีปัญหาในเรื่องนี้เพราะเขาไม่พร้อม ส่วนเรื่องการส่งกลับมีหน่วยงานการตรวจสอบทั้งแรงงานจังหวัด และกระทรวงแรงงาน ถ้าใครทำผิดกฎหมายก็ส่งกลับเป็นไปตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศทำไมจะต้องมาตั้งศูนย์ส่งกลับอีก
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงรายงานข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ของเวียดนามระบุว่ามีเรือไทยเข้าโจมตีเรือเวียดนามซึ่งทำให้ชาวประมงเวียดนามได้รับบาดเจ็บว่า ยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้ ทรายแต่เพียงว่ามีการจับกุมเรือเวียดนามและได้รับบาดเจ็บ แต่เท่าที่สอบถามมีการละเมิดน่านน้ำจริง ส่วนเรื่องอื่นทางสื่อเวียดนามเอาไปขยาย จริงๆ เรามีการพูดคุยกันได้ ตอนนี้ล้ำหรือไม่ล้ำเขตน่านน้ำต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อน และต่อไปเป็นการพูดคุยเจรจาว่าจะเอาอย่างไร จะส่งไปดำเนินคดีที่เวียดนามหรือประเทศไทย เป็นแบบนี้มาโดยตลอด เพียงแต่รัฐบาลนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าจะกัมพูชา ลาว และเวียดนาม ทั้งหมดจะต้องพูดคุยในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เป็นประเด็นในความขัดแย้ง ถ้าผิดก็ยอมรับว่าผิด มีความชัดเจนอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ศาลที่ จ.สงขลาจะมีการตัดสินเรื่องนี้ นายกฯ กล่าวว่า ก็ถ้าผิดก็คือผิด ขั้นตอนต่อไปถ้าผิดแล้วจะทำอย่างไร จะติดคุกที่นี่หรือติดคุกที่นู่น ไปถามรายละเอียดปลีกย่อยมากเกินไป
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮกจะประกาศคำวินิจฉัยในคดีทะเลจีนใต้ ที่ฟิลิปปินส์เป็นผู้ยื่นคำร้องเมื่อปี 2556 ในวันที่ 12 ก.ค. ว่าเป็นเรื่องของคณะอนุญาโตตุลาการ ของเราเป็นเรื่องมติของอาเซียนในการทำให้เป็นทะเลแห่งความร่วมมือ ทะเลแห่งมิตรไมตรีมันคนละเรื่องกัน เมื่อถามว่า ไทยจะมีการผลักดันเรื่องนี้ในการประชุมผู้นำอาเซียนในช่วงปลายเดือน ก.ค.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทำไมจะตนจะต้องไปผลักดันใคร การพูดคุยวันนี้เป็นเรื่องของประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง เราอยู่ตรงนั้นหรือไม่ เราก็ไม่ได้อยู่ เราเป็นอาเซียนก็ไปหามติในอาเซียนด้วยกันว่าทั้งหมดคิดอย่างไร ตอนนี้คิดอย่างไรก็เก็บไว้ก่อนจะมาพูดอะไรตอนนี้เดี๋ยวเขาไปพูดกันเอง เขาคงคุยเรื่องนี้ทุกทีแต่ยังไม่ได้คำตอบ เราก็เคยเป็นประเทศผู้ประสานงาน ปีนี้เป็นเรื่องของสิงคโปร์ และสิงคโปร์เป็นผู้ประสานงานต่อ เราก็คอยช่วยเหลือสนับสนุน แต่การแสดงความคิดเห็นโดดๆ คงทำไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการใช้งบประมาณในโครงการต่างๆ ที่ไม่โปร่งใสของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า สำหรับการตรวจสอบนั้นมีขั้นตอนและวิธีการอยู่แล้ว และกระทรวงมหาดไทยที่กำกับดูแล จะต้องมีการสอบสวนซึ่งต้องรอขั้นตอนการสอบสวนก่อน จากนั้นก็จะเข้าสู่ขั้นตอนอื่นๆ ต่อไป ทุกอย่างมีกฎหมายรองรับ เมื่อมีการร้องทุกข์ก็จะมีการสอบสวนหาที่มา
เมื่อถามว่าจำเป็นต้องให้ศูนย์อำนวยต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เข้าไปตรวจสอบหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังก่อน รอให้มีกระบวนการสอบสวนก่อน เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะต้องสอบสวนข้อเท็จจริง หากเห็นว่ามีมูลความผิดก็จะเข้าสู่กระบวนการ ทั้งหน่วยงานขอรัฐและหน่วยงานอิสระ และขณะนี้ยังไม่เป็นต้องใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเข้ามาดำเนินการ