“วิษณุ” ระบุนายกรัฐมนตรีมีอำนาจพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่มหาเถรสมาคมเสนอชื่อขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เหตุเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อกังขาว่านายกรัฐมนตรีจะสามารถเสนอรายชื่อสมเด็จพระสังฆราชฯได้หรือไม่ หากเห็นว่ารายชื่อที่มหาเถรสมาคม (มส.) เสนอมานั้นไม่เหมาะสมว่า ตามหลักแล้วไม่ว่าตำแหน่งใดก็ตามหากเป็นอำนาจนายกฯ ในการพิจารณา นายกฯ ก็สามารถที่จะตรวจสอบได้ จนเกิดความมั่นใจได้ว่าในการนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายนั้นไม่มีความผิดพลาดแน่ ส่วนจะใช้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ความยากง่ายของเรื่อง เพราะเวลานำความขึ้นกราบบังคมทูลนั้นนายกฯ ต้องเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ หากผิดพลาดเขาเอาผิดที่ผู้รับสนองฯ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่นายกฯ จะต้องมีการตรวจสอบ ส่วนจะตรวจอะไรหรือตรวจอย่างไร ตนบอกไม่ได้
ส่วนกระแสการปลุกม็อบของฝ่ายหนุนและฝ่ายต้าน รัฐบาลจะดูแลอย่างไรนั้น นายวิษณุกล่าวว่า การหนุนหรือการแบ่งฝ่ายนั้นมีมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกอะไรมากมาย เพียงแต่อย่าทำให้เกินเลยไปเท่านั้น ทั้งนี้ วิธีที่รัฐบาลจะทำได้ก็คงเป็นการทำความเข้าใจ บางกลุ่มอธิบายแล้วก็เข้าใจ แต่บางกลุ่มอธิบายแล้วยังไม่เข้าใจก็ต้องอธิบายกันต่อไป รัฐบาลก็คงทำได้แค่นั้น
ผู้สื่อข่าวถามย้ำงว่า นายกฯ มีอำนาจในการทบทวนมติ มส.หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องทบทวน แต่เป็นการพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการ “สื่อหลายสำนัก ทีวีหลายช่องไปออกข่าวทำนองว่ากฤษฎีกาวินิจฉัยแล้วว่าเป็นอำนาจของ มส. ผมฟังแล้วมันไม่ผิดหรอก แต่มันก็ไม่ถูก เพราะความจริงแล้วเป็นอำนาจของ มส.ที่จะพิจารณาเริ่มเรื่องได้ แต่เมื่อส่งมาที่นายกฯ แล้วก็ถือว่าเป็นอำนาจของนายกฯ เรื่องอยู่ที่ใคร คนนั้นก็มีอำนาจ ดังนั้น ขณะนี้เป็นเรื่องระหว่างนายกฯ กับสำนักราชเลขาธิการฯ เท่านั้น ไม่มีอะไรที่ต้องกลับไปที่ มส.อีกแล้ว จบหน้าที่ของมส.แล้ว”
ส่วนความไม่โปร่งใสของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วงนั้น นายวิษณุกล่าวว่า เราคงไม่ต้องเอาความมัวหมองหรือความไม่เหมาะสมอะไรขึ้นมาพูดจากันในที่สาธารณะ เพราะนายกฯ ย่อมมีเหตุผลอยู่ดีว่าการที่จะนำขึ้นเมื่อใดนั้นจะต้องอาศัยความชัดเจนประการใด เพราะในที่สุดเวลาที่จะนำความกราบบังคมทูลก็ต้องได้รับคำอธิบายทั้งหมดว่าได้มีการตรวจสอบแล้วว่าเป็นอย่างไร
