“ส.ศิวรักษ์” ชี้ “ธรรมกาย” ฟางเส้นสุดท้าย ถ้าจัดการไมได้คณะสงฆ์ไทยก็ล่มสลาย แนะรัฐบาลใช้วิธีแยบคายจับกุม “ธัมมชโย” เหน็บ “ประยุทธ์” ไม่กล้าใช้อำนาจเด็ดขาดในทางที่ถูก ลาออกไปเลี้ยงหลานดีกว่า เสนอยกเลิก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ 2505 แล้วกลับไปใช้ของปี 2484 โดยปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย พร้อมกับตรวจสอบบัญชีการรับเงินของพระ ต้องโปร่งใส
วานนี้ (27 มิ.ย.) นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เจ้าของนามปากกา ส. ศิวรักษ์ ได้กล่าวในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “นิวส์วัน” ช่วงหนึ่งว่า ธรรมกายเป็นฟางเส้นสุดท้ายแห่งการเสื่อมสลายของสถาบันสงฆ์ไทย เนื่องจากคำสอนของธรรมกายเป็นสัทธรรมปฏิรูป คือ บิดเบือนเฉไฉคำสอนของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ ยังไปได้ด้วยดีกับศาสนาใหม่ คือ ทุนนิยมและบริโภคนิยม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มาทางนี้ เลยดึงดูดคนได้มาก ที่เลวร้ายกว่านั้นคือคณะสงฆ์ก็เป็นไปด้วย พระชอบสมณศักดิ์ รับเงินเป็นแสนเป็นล้านไม่อับอาย ถึงบอกว่าธรรมกายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คณะสงฆ์ไทยก็ล่มสลาย
ส.ศิวรักษ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาอำนาจของวงการสงฆ์ เริ่มจากการที่มหาเถรสมาคมเกิดขึ้นโดยเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปี 2505 จอมพลสฤษดิ์ทำลายประชาธิปไตยและต้องการทำลายประชาธิปไตยของสงฆ์ด้วย เมื่อเราเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ 27 มิ.ย. 2475 พระมหานิกายรู้สึกถูกพระธรรมยุตเอาเปรียบมาตลอดตั้งแต่ออก พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ รศ. 121 ให้ธรรมยุตปกครองมหานิกายได้ แต่มหานิกายปกครองธรรมยุตไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว คณะสงฆ์รุ่นใหม่ ๆ เรียกร้องขอความเป็นธรรม ต้องการประชาธิปไตยในคณะสงฆ์ จึงเกิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 ให้มีการปกครองคณะสงฆ์เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีการกระจายอำนาจได้ดี และน่าเลื่อมใสมาก แต่สมเด็จพระสังฆราชขณะนั้นไม่พอใจ หาว่าประชาธิปไตยล้าสมัย สู้คอมมิวนิสต์ไม่ได้ เลยสั่งให้ยุบพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 แล้วเอาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 มา และอ้างว่ากลับไปหาฉบับ รศ. 121 แม้ว่า รศ. 121 มีปัญหาบ้างแต่ตอนนั้นพระเจ้าแผ่นดินเป็นสังฆราชเอง ดูแลสงฆ์ได้เอง แต่สมเด็จพระสังฆราชขณะนั้นไม่มีความรู้ตรงนี้ เลยปล่อยให้สงฆ์ปกครองกันเอง แต่คณะสงฆ์ปกครองกันเองไม่ได้ อย่างที่บอก รศ. 121 พระเจ้าแผ่นดินเข้ามาช่วย พอหมดรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระมหาสมณเจ้าทรงบัญชาการอย่างเข้มงวดกวดขัน ถึงดำรงอยู่ได้ แต่สมัยสมเด็จพระสังฆราช 2505 ไม่มีแล้ว คณะสงฆ์และกฎหมายอ่อนแอมาก กรรมการมหาเถรสมาคมต้องเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่เหลือก็ต้องเป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งท่านเหล่านี้อายุ 70 - 80 จะไปรู้เรื่องอะไร พอหลัง ๆ ก็แคบเข้า ๆ เลยสนใจแต่เรื่องสมณศักดิ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ มีการติดสินบนกันซื้อขายตำแหน่ง น่าอดสู
“พ.ร.บ. ปกครองคณะสงฆ์ 2505 มันหมดสมัยแล้ว ถ้าคุณประยุทธ์มีความกล้าหาญ ก็ต้องสั่งเลิก แล้วกลับมาใช้ 2484 โดยปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัย เอามาใช้ได้เลย นี่เป็นเปราะนึงที่ช่วยคณะสงฆ์ได้” นายสุลักษณ์ กล่าว
นายสุลักษณ์ กล่าวต่ออีกว่า อีกสิ่งที่จะช่วยคณะสงฆ์ได้อีก คือ เรื่องการรับเงินของพระ ในพระวินัยพระห้ามรับเงิน ไม่มีหน้าที่หาเงิน แต่ทุกวันนี้สมเด็จราชาคณะไปฉันข้าวบ้านใครต้องให้ทีละแสน ถ้ารัฐบาลกล้า ต้องให้สงฆ์เปิดเผยบัญชี เงินทั้งหมดตรวจสอบได้ พระต้องไม่มีอาชีพ แต่นี่ฉัน สวด เทศน์ เป็นอาชีพไปแล้ว งานศพทุกแห่งเป็นพุทธพาณิชย์หมด ถ้าไม่แก้ที่แก่นไม่มีทาง ถึงบอกธรรมกายเป็นฟางเส้นสุดท้าย
นายสุลักษณ์ กล่าวถึงการจับกุมพระธัมมชโย ว่า กฎหมายบ้านเมืองต้องสำคัญ นี่ฉ้อฉล ฟอกเงิน ชัดเจน จะบอกว่าเพราะห่มเหลืองเลยทำอะไรไม่ได้มันไม่ได้ ถ้าทำผิดก็ต้องจับ รัฐบาลมีอำนาจแต่ไม่ทำ ส่วนเรื่องโล่มนุษย์นั้น รัฐบาลสามารถใช้วิธีแยบคายได้ แต่ที่ผ่านมานี่ยื้อไปยื้อมา หัวหน้าคณะปฏิวัติไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด น้ำผึ้งหยดเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่โต
“เรื่องนี้ถ้าจะใช้อำนาจ อธิบายให้ชัดเจนเลยว่าใช้อำนาจตามกฎหมายอย่างไร คนส่วนใหญ่จะเข้าใจเลยว่าใช้อำนาจอย่างถูกต้อง ปกครองรัฐฐะแต่ไม่กล้าใช้อำนาจ ลาออกไปเลี้ยงหลานที่บ้านดีกว่า”
ส.ศิวรักษ์ กล่าวอีกว่า จะมาอ้างว่ากลัววุ่นวาย บานปลาย หากจับพระธัมมชโย ยึดอำนาจจากรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนคนทั้งประเทศ ยังทำได้เลย เอาคนมาขังคุกไม่กลัววุ่นวาย บานปลายหรือ เรื่องนี้ต้องกล้าตัดสินใจ