“ประสาร” ชี้พฤติกรรมสำนักธรรมกายประกาศตนเป็นรัฐอิสระจากราชอาณาจักรไทย ซัดนะจ๊ะเปลือยสบงจีวรให้เห็นความตลบแตลงรายวันไม่ต่างเสื้อแดงที่เอาแต่กอดประชาธิปไตยไม่สนใจกฎหมาย จี้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต สปช. กล่าวถึงกรณีดีเอสไอนำหมายค้นของศาลอาญาเข้าไปขอค้นวัดพระธรรมกายวานนี้ แต่ไม่สามารถเข้าตรวจค้นได้นั้น เห็นว่าหมายค้นของศาลอาญาให้อำนาจเจ้าหน้าที่ให้สามารถเข้าตรวจค้นพื้นที่ตามระบุได้ เมื่อเข้าค้นไม่ได้แปลว่าวัดพระธรรมกายประกาศตนเป็นรัฐอิสระจากราชอาณาจักรไทยไปแล้ว การเข้าตรวจค้นของดีเอสไอครั้งนี้กระทำต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างเปิดเผย ซึ่งจะมีผล 2 ด้าน คือ ด้านหนึ่งแสดงให้เห็นต่อสาธารณะว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโดยชอบ ตามกฎหมาย ใช้ความละมุนละม่อม และเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ถูกขวางกั้นด้วยโล่มนุษย์ชุดขาวและรถราที่ถอดป้ายทะเบียนจอดกีดขวางไว้ อีกด้านหนึ่งเป็นการเปลือยสบงจีวรให้เห็นความตลบแตลงรายวัน
นายประสารกล่าวว่า ก่อนหน้านี้อ้างว่าไม่มอบตัว เพราะหลวงพ่ออาพาธหนัก แต่วันนี้มาบอกว่าไม่มอบตัว เพราะบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย พระสนิทวงศ์ของสำนักสื่อสารองค์กร บอกว่ายินดีให้ความร่วมมือ ให้เจ้าหน้าที่เข้าค้นวัดได้ แค่คณะศิษย์กีดขวางไม่ยอมให้ค้น ติดป้ายหน้าวัดตัวโตบอกว่าวัดพระธรรมกายเป็นพุทธสถานเพื่อการปฏิบัติธรรม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น มาวันนี้บอกว่าให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ก่อนค่อยมอบตัว นี่ไม่ใช่การเมืองหรือ
นายประสารยังกล่าวต่อว่า ความจริงสังคมไทยจำกันได้ดีคำว่า “บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย” นี้ เป็นสำนวนคุ้นหูที่ได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อยๆ บนเวทีเสื้อแดงนั่นเอง ไหนบอกว่าเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระธัมมชโย ถ้าเชื่อมั่นแล้วทำไมต้องหวาดกลัวกฎหมายไม่เข้ามอบตัว แล้วหาหลักฐานมาสู้คดีไปตามกระบวนการยุติธรรม
“ข้ออ้างที่ว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์จึงยังไม่มอบตัว ย่อมหมายความได้ว่า “จะไม่มอบตัว มีอะไรมั้ย” นี่เป็นตรรกะอุบาทว์ที่ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะถ้าพูดอย่างนี้ก็เท่ากับว่าในวันนี้ ตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ และศาลต้องยุติการทำหน้าที่ไว้ก่อน ดังนั้นใครจะปล้น ใครจะฆ่า ใครจะข่มขืน ใครจะค้ายาบ้า ใครจะโกงก็สามารถทำได้ในเมื่อบ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย”
นายประสารกล่าวว่า ความจริงแล้วกระบวนการตุลาการเป็นองค์อำนาจหนึ่งในสามของอำนาจอธิปไตย ที่ประกอบส่วนเข้ากับอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร แล้วจะต้องไปรอศาลไหน ในเมื่อศาลสถิตยุติธรรมก็เป็นคณะบุคคลชุดเดิมที่ใช้อำนาจตามปกติสืบเนื่องกันมา นับเป็นการท้าทายของรัฐอิสระธรรมกายต่อราชอาณาจักรไทยครั้งสำคัญที่ดีเอสไอและกระบวนยุติธรรมไทยจะย่อหย่อนไม่ได้ มีแต่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายสถานเดียว ถ้ายอมได้คราวนี้ก็จะมีคดีท้าทายอื่นๆ ตามมาโดยอาศัยการตลบแตลงประสานกับปราการมวลชนแข็งขืนต่ออำนาจรัฐในคดีอื่นๆ เหมือนที่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งเคยตั้งโต๊ะแถลงไม่รับอำนาจศาลได้สร้างตราบาปแบบเดียวกันฝากไว้ในแผ่นดินมาแล้ว