xs
xsm
sm
md
lg

“บรรหาร” ถึงแก่อนิจกรรมแล้วด้วยวัย 83 ปี 8 เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายบรรหาร ศิลปอาชา เปิดบ้านจัดงานวันเกิดครั้งสุดท้าย เมื่อ 25 สิงหาคม 2558
“บรรหาร” ถึงแก่อนิจกรรมแล้วเมื่อเวลา 04.42 น.ของวันที่ 23 เม.ย. ด้วยวัย 83 ปี 8 เดือน หลังอยู่ในอาการวิกฤตด้วยโรคภูมิแพ้กำเริบและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ตั้งแต่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยญาติจะเคลื่อนศพไปวัดเทพศิรินทร์

วันนี้ (23 เม.ย.) มีรายงานจากโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ว่านายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของไทยได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้วอย่างสงบเมื่อเวลา 04.42 น.ที่ผ่านมา ในวัย 83 ปี 8 เดือน ญาติจะเคลื่อนศพไปวัดเทพศิรินทร์ ศาลา 14 และในวันนี้เวลา 17.00 น.จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ

นายบรรหารเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เนื่องจากอาการภูมิแพ้ หอบหืดกำเริบ เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยอาการอยู่ในสภาวะวิกฤตตั้งแต่วันแรก

ต่อมาเช้าวันนี้ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แถลงว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา ถึงแก่อนิจกรรมแล้วด้วยอาการสงบเมื่อเวลา 04.42 น.วันนี้ สิริอายุ 83 ปี 8 เดือน หลังเข้ารักษาอาการป่วยภูมิแพ้ หอบหืดกำเริบที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งหลังการเข้ารักษาตัว แพทย์ได้นำตัวเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู หอผู้ป่วยวิกฤต เนื่องจากต้องให้ช่วยให้หลอดลมคลายตัวเพื่อที่จะสามารถให้ออกซิเจนเข้าไปได้ และอาการอยู่ในสภาวะวิกฤตมาตั้งแต่วันแรก

ส่วนบรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราช เริ่มมีนักการเมืองทยอยเดินทางมาแล้ว ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวจำนวนมาก แต่โรงพยาบาลยังไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปในหอผู้ป่วย เบื้องต้นจะมีการเคลื่อนศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร

กำหนดการงานศพนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ศาลา 14 (สุวรรณวณิชกิจ) วัดเทพศิรินทร์

วันที่ 23 เมษายน 2559

เวลา 17.00 น. พิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
เวลา 19.00 น. พระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรม เป็นเวลา 3 คืน (23-25 เมษายน)

หลังจากนั้นสวดพระอภิธรรมอีก 7 คืน (26 เมษายน - 2 พฤษภาคม) ในเวลา 19.00 น.



สำหรับประวัติของนายบรรหารนั้น นายบรรหาร ศิลปอาชา เดิมมีชื่อว่า นายเต็กเซียง แซ่เบ๊ เกิดเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2475 เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี บุตรของนายเซ่งกิม และนางสายเอ็ง แซ่เบ๊ จบการศึกษาชั้นประถมที่จังหวัดสุพรรณบุรี เข้ากรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัฒนศิลป์วิทยาลัย แต่ต้องหยุดเรียนเนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และหันไปทำงานกับพี่ชายและก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อ บริษัท สหะศรีชัยก่อสร้าง จำกัด เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2496 และก่อตั้งบริษัท บี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขายเคมีภัณฑ์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2513 เป็นตัวแทนจำหน่ายคลอรีนให้กับการประปาส่วนภูมิภาคจนมีฐานะร่ำรวย

ในปี 2523 ครอบครัวนายบรรหารได้ก่อตั้งบริษัท สหศรีชัยเคมิคอลส์ จำกัด เพื่อขายเคมีภัณฑ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท คอสติกไทย จำกัด ซึ่งหนึ่งในผู้ถือหุ้น คือ บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด ของนายสิโรจน์ วงศ์สิโรจน์กุล ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับนายบรรหาร ได้รับว่าจ้างรับเหมาก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐมานานหลายปี ในจำนวนนี้เป็นโครงการรับเหมาในกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หลายโครงการ รวมทั้งโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ

ต่อมานายบรรหารเข้าสู่วงการเมืองจากการชักชวนของนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคชาติไทยเมื่อปี 2517 โดยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติในปี 2516 และเป็นสมาชิกวุฒิสภาในปี 2518 ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อปี 2519 และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.มาทุกสมัยที่มีการเลือกตั้ง

นายบรรหารได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง ในปี 2519 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีสมัยแรก คือ รมช.อุตสาหกรรม ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จนกระทั่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากนายกรัฐมนตรีลาออก ก็ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเดิมอีกสมัยหนึ่ง แต่ดำรงตำแหน่งเพียง 12 วัน และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณเพียงวันเดียวก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากการรัฐประหารของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่

ต่อมานายบรรหารขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชาติไทย ในปี 2523 ถูกนายพินิจ จันทรสุรินทร์ ส.ส. ลำปาง และคณะรวม 42 คน ยื่นคำร้องต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีบิดาเป็นคนต่างด้าว และสำเร็จการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีมติให้ยกคำร้อง

นายบรรหารดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ และ รมว.คมนาคม ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กระทั่งในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายบรรหารได้เป็น รมว.อุตสาหกรรม รมว.มหาดไทย รมว.คลัง กระทั่งมีการรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายบรรหารยังได้รับตำแหน่ง รมว.คมนาคม

เมื่อนายบรรหารเป็นนักการเมืองแล้ว จึงเริ่มเรียนหนังสือต่อจนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อปี 2529 ศึกษาต่อปริญญาโทจนสำเร็จการศึกษา นิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง นอกจากนี้ ยังได้รับปริญญาครุศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา และในปี 2553 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ได้มอบปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตกิตติมศักดิ์อีกด้วย

ต่อมาในปี 2537 นายบรรหารได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทย และเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย กระทั่งในการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2538 พรรคชาติไทยมี ส.ส.ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นายบรรหารได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศไทย พร้อมควบตำแหน่ง รมว.มหาดไทย

แต่ดำรงตำแหน่งได้เพียง 1 ปี 134 วัน พรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจโจมตีว่าการบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ ไม่เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ ประกอบกับพรรคร่วมรัฐบาลได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรคนำไทย และพรรคมวลชน กดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง จึงตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2539 และการเลือกตั้งในครั้งต่อมา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22

ในการเลือกตั้งปี 2548 พรรคชาติไทยได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อีกถ้าพรรคไทยรักไทยจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว กระทั่งในช่วงการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายทักษิณประกาศยุบสภา พรรคชาติไทยร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคมหาชน คว่ำบาตรการเลือกตั้ง แต่ในการเลือกตั้งปี 2550 นายบรรหารไปเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิการเลือกตั้ง 5 ปี เนื่องจากพรรคชาติไทยถูกยุบเพราะกรรมการบริหารพรรคซื้อเสียงเลือกตั้ง ได้มีการตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรคชาติไทยพัฒนารองรับ และร่วมงานกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

นายบรรหารสมรสกับคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา (นามสกุลเดิม เลขวัต) มีบุตรและธิดารวม 3 คน เป็นชาย 1 คน คือ นายวราวุธ ศิลปอาชา หรือท็อป อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี สมรสกับ สุวรรณา ไรวินท์ และเป็นหญิง 2 คน คือ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หรือหนูนา อดีต ส.ส.สุพรรณบุรี และ น.ส.ปาริชาติ ศิลปอาชา หรือยุ้ย ประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยครอบครัวมีทรัพย์สินรวมกันกว่า 3,500 ล้านบาท สะสมที่ดิน 201 แปลง เกือบ 2 พันไร่ มีบ้าน 3 หลัง ได้แก่ ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด มูลค่า 50 ล้านบาท, ย่านถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ มูลค่า 20 ล้านบาท และบ้านพักที่ จ.สุพรรณบุรี มูลค่า 3 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น