โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ชี้แจงคำสั่ง คสช. ที่ 13/2559 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เน้นหนัก ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย ด้วยความรวดเร็ว และทันท่วงที ย้ำ ปฏิบัติต่อเป้าหมายที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีผู้มีอิทธิพลอยู่แล้ว
วันนี้ (30 มี.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถนนราชดำเนินนอก เมื่อเวลา 14.00 น. พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงคำสั่ง คสช. ที่ 13/2559 ว่า คำสั่งดังกล่าวนี้เน้นการป้องกันและปราบปรามการทำความผิดบางประการที่เป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อย หรือบ่อนทำลายเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ เป็นการให้อำนาจหน้าที่ต่อเจ้าพนักงานในป้องกันและปราบปรามต่าง ๆ ตามที่ได้สั่งการ
อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ออกมาเพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่เน้นหนักในเรื่องการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งบางครั้งการเข้าปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในบางส่วน เราใช้กรอบของกฎหมาย และในบางครั้งต้องมีการขอหมายศาลเพื่อทำการตรวจค้น จับกุม ในคำสั่ง คสช. ที่ 13 นี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความรวดเร็วและทันท่วงทีต่อสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเจ้าพนักงานจึงให้มีอำนาจเจ้าหน้าที่ขึ้นมา
เมื่อถามว่า พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ได้ให้นโยบายกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ ในการเข้าตรวจสอบ เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจเกินไป พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า เราปฏิบัติต่อเป้าหมายที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลอยู่แล้ว ซึ่งมีข้อมูลของผู้กระทำผิดกฎหมายทั้ง 16 กลุ่ม คำสั่งนี้ได้ให้อำนาจทางทหารร่วมปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติมขึ้นเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
เมื่อถามว่า คำสั่ง คสช. จะควบคุมไปถึงเมื่อใด เพราะเหลือเวลาอีก 2 เดือน ในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงกำหนดตามนโยบายสั่งการของหัวหน้า คสช. คือ จะสิ้นสุดในช่วง 6 เดือน คือ เดือน เม.ย. แต่ก็ต้องดูจากข้อมูลในการปฏิบัติว่าประสบปัญหาหรือประสบความสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ เพราะการปฏิบัติงานก็อาจมีปัญหา ซึ่งเมื่อถึงครบกำหนดแล้ว จะมีการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานในส่วนของการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ก็คงยังปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามที่หัวหน้า คสช. สั่งการ
อ่านประกอบ : คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๓/๒๕๕๙ เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทําลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ