“ศุภชัย” แจงแผนรณรงค์ให้ใช้สิทธิ 80% แบ่ง 3 ระยะ ผุดยุทธศาสตร์ “ดอกไม้ 65 ล้านบานสะพรั่ง” ใช้เทคโนโลยีช่วยรณรงค์เชื่อ 3 ชม.หลังใช้สิทธิได้ผลไม่เป็นทางการ ย้ำใช้งบมีประสิทธิภาพ ย้อน “เรืองไกร” เข้าใจผิด ชี้งบ กกต.ให้ขาด เหลือเก็บไว้ใช้ฉุกเฉิน “ประวิช” โว กกต.ฟิตพร้อมทำงาน มั่นใจมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าประชามติครั้งก่อน เหตุเปลี่ยนรณรงค์แบบสร้างเครือข่าย
วันนี้ (30 มี.ค.) นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างต้อนรับนักศึกษาหลักสูตรนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 4 ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่มาศึกษาดูงานของสำนักงาน กกต. ถึงแนวทางการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญหลัง ครม. ส่งร่างรัฐธรรมนูญมาให้ กกต.ดำเนินการว่า จะใช้แผนณรงค์เพื่อให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิให้ได้ร้อยละ 80 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือระยะตื่นตัวตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ ครม.ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ กกต. ระยะที่ 2 ระยะติดตาม จะเป็นช่วงหลัง กกต.ได้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วไปจนถึงวันที่ กกต.ประกาศกำหนดวันออกเสียงประชามติ และระยะที่สามเป็นระยะตัดสินใจ นับตั้งแต่วันที่กกต.ประกาศกำหนดวันออกเสียงจนถึงวันออกเสียงประชามติ ซึ่งการรณรงค์จะยึดหลักในเรื่องความสะดวก เที่ยงธรรม และประชาธิปไตยคุณภาพ และมียุทธศาสตร์ “ดอกไม้ 65 ล้านบานสะพรั่ง”
ทั้งนี้จะมีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยในการรณรงค์จัดการเลือกตั้ง และการตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่จะมีแอปพลิเคชันดาวเหนือให้รายละเอียดหน่วยลงคะแนนของผู้มีสิทธิออกเสียง แอปพลิเคชันตาสับปะรด ใช้แจ้งเบาะแสทุจริต และแอปพลิเคชันฉลาดรู้ ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้มั่นใจว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้จะสามารถทำให้ทราบผลการออกเสียงประชามติอย่างไม่เป็นทางการได้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังปิดการออกเสียง อย่างไรก็ตาม นายศุภชัยยืนยันว่าการใช้งบออกเสียงประชามติครั้งนี้ กกต.ได้พิจารณาโครงการต่างให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ สถานการณ์ และนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้การใช้งบมีประสิทธิภาพ
นายศุภชัยยังให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทยร้องนายกรัฐมนตรีขอให้สั่ง กกต.คืนเงินเหลือจากการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ว่า นายเรืองไกรเข้าใจผิด เพราะตามกฎหมายงบที่รัฐบาลจัดสรรให้ กกต.เป็นการให้ขาดเลย หากเหลือจ่ายก็สามารถเก็บสะสมไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ เช่น กกต.นำไปสร้างสำนักงาน กกต.จังหวัด แต่เงินหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ใครนำไปใช้ผิดประเภท บาทเดียวก็มีความผิด ที่ผ่านมา กกต.ก็ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอยู่ตลอด และในการประชามติครั้งนี้รัฐบาลก็ขอให้มีการใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งก็ได้กำชับกับสำนักงาน กกต.แล้ว
ด้านนายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ขณะนี้ กกต.มีความฟิตมากที่จะทำงานเพราะซ้อมมาตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 2557 ซึ่งการทำประชามติที่ผ่านมาเมื่อปี 2550 มีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 57 ขณะนั้นมีผู้มีสิทธิประมาณ 40 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีการแก้ไขให้ผู้ที่มีอายุ 18 ปีในวันออกเสียงประชามติ เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงด้วยทำให้มียอดผู้มีสิทธิเพิ่มขึ้นอีก 8 แสนคน รวมจะมีผู้มีสิทธิในการออกเสียงครั้งนี้ 50 ล้านคน ดังนั้น หากมียอดผู้มาใช้สิทธิเกินกว่าร้อยละ 57 ก็ถือว่าใช้ได้ ทั้งนี้ที่มั่นใจว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาเพราะ กกต.ได้เปลี่ยนวิธีในการรณรงค์จากเดิมที่ใช้วิธีรณรงค์ผ่านสื่อเพียงอย่างเดียวก็จะหันมาใช้การสร้างเครือข่าย ขณะนี้ก็มีการดำเนินการจนพร้อมทั้งหมดแล้ว