เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่านาทีนี้ถือว่าดีเดย์ลุยล้าง “มาเฟีย” พร้อมกันทั่วประเทศแล้ว หลายพื้นที่ก็เริ่มมีการกวาดล้างจับกุมได้ผู้ต้องหาและอาวุธ รวมทั้งสิ่งผิดกฎหมายมากมาย โดยแผนการกวาดล้างดังกล่าวใช้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมมือกัน ภายใต้คำสั่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งผ่านมายังเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คือ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ในเมื่องานนี้ถือว่าเป็น “งานใหญ่” ระดับชาติ ก็ต้องมีหลายหน่วยงานเข้าร่วมอย่างกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องมีการเรียกประชุมฝ่ายปกครอง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เช่น กอ.รมน. สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นต้น แต่ทุกหน่วยงานเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แบบเบ็ดเสร็จอยู่แล้วทุกอย่างคงราบรื่น
แน่นอนว่าการลุยล้างปราบปรามมาเฟียหรือผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศได้เคยทำมาแล้วทุกยุคสมัย แทบทุกรัฐบาล ปราบกี่ครั้งมันก็หมูๆ ชาวบ้านยกนิ้วให้อยู่แล้ว หากเอาจริงเอาจังปราบปรามกวาดล้างกันแบบไม่เลือกหน้า ไม่ลูบหน้าปะจมูก แต่ที่ผ่านมาแทบทุกครั้งมันออกมาในทางตรงกันข้าม มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง เพราะหากพิจารณากันในรายละเอียดผลการจับกุมล้วนได้แต่ระดับปลาซิวปลาสร้อย ประเภท “นักเลงกระจอก” ประเภทระดับท้องถิ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนประเภทที่ชาวบ้านเห็นชื่อแล้วร้องอ๋อว่านี่แหละใช่เลย กลับลอยหน้าลอยตาเหมือนเดิมแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่ไม่การแพลมออกมา มีหลายคนที่พอเอ่ยชื่อออกมาสังคมก็ต้องร้องอ๋อว่าใช่เลย เพราะคนพวกนี้เคลื่อนไหวแบบไหนชาวบ้านเขาได้ยินกิตติศัพท์ในทางลบมานานแล้ว โดยเฉพาะในยุคที่การเมืองเฟื่องฟูก็จะได้เห็นพวกเขามีอำนาจวาสนาเพิ่มขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี เมื่อได้เห็นผลการจับกุมวันแรกๆที่ออกมาล้วนแล้วแต่ผิดคาด ไม่สมราคาคุยสมกับที่มีการเรียกประชุมหน่วยงานกันใหญ่โต จริงอยู่ผลการจับกุมสามารถได้ตัวผู้ต้องหาและอาวุธสงครามมากมายพอสมควรตามที่มีการแถลงข่าวโปรโมต แต่คำถามก็คือผู้ต้องหาเหล่านี้มันกระจอกเกินไปหรือไม่ เพราะคนพวกนี้จะว่าไปแล้วมันเป็นหน้าที่และภารกิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายปกติอยู่แล้ว เหมือนกับการจับกุมผู้ต้องหาที่มีอาวุธสงคราม มียาเสพติดในครอบครองที่เกิดขึ้นเป็นรายวัน ไม่เห็นจำเป็นต้องกำหนดเป็นงานระดับชาติ “ตีปี๊บ” ใหญ่โตถึงขนาดนี้
แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณากันในเชิงการเมืองมันก็พอมีคำตอบได้หลายต่อ อย่างแรกก็เป็นการปรามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญนับจากนี้ ตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อยู่ในช่วงขั้นตอนสุดท้าย ต่อเนื่องยาวไปจนถึงขั้นตอนการลงประชามติ สำหรับเรื่องร่างรัฐธรรมนูญที่มีกำลังมีการจับตาเรื่อง “ใบสั่ง” เรื่อง “ส.ว.สรรหา” อ้างว่ามีการ “ทุบโต๊ะ” ออกมาแล้วว่าต้องกำหนดเอาไว้ในบทเฉพาะกาลย้ำว่าต้องมีในช่วง “เปลี่ยนผ่าน 5 ปี” สอดคล้องกับเรื่องแผนยุทธศาสตร์ชาติอีก 20 ปีข้างหน้า
นั่นคือความต้องการของระดับบิ๊กของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ส่งสัญญาณชัดว่าต้องกำหนดเรื่องดังกล่าวเอาไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นี่ว่ากันเฉพาะประเด็นที่ชัดเจนก่อน เชื่อว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อ และน่าสนใจ เพราะในการประชุมแม่น้ำห้าสายที่ผ่านมา มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็ “ชิ่ง” ไม่เข้าร่วมประชุม อ้างว่าไม่ต้องการผูกมัด หรือถูกมองว่าไปตั้งวงกันงุบงิบร่างรัฐธรรมนูญกันเอง ซึ่งหากมองเผินๆ อาจดูดีว่าประธานคณะกรรมการยกร่างฯ ไม่ร่วมประชุมก็น่าจะไม่มีใบสั่ง ทำงานเป็นอิสระ แต่คำถามก็คือหาก “ขาใหญ่” ต้องการมีหรือใครจะกล้าขัดใจ และที่สำคัญมันมองตาก็รู้ใจกันอยู่แล้วใช่หรือเปล่า ดังนั้นหากตั้งข้อสังเกตก็ต้องบอกว่าตีบทได้ “เนียน” มาก
วกมาที่ยุทธการล้างมาเฟียกันอีกที ก็อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าแม้ไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกยุคที่ดำเนินการมันก็ทำให้น่าตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันมันก็อดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่านี่คือการ “ล็อกฝ่ายตรงข้าม” ยิ่งได้เห็นการปฏิเสธของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำทับด้วย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ที่ออกมาปฏิเสธรายชื่อขาใหญ่บางคนที่ปรากฏออกมาก่อนหน้านี้ ประกอบกับได้เห็นผู้ต้องหาที่ถูกจับได้ตามพื้นที่ภูธร ก็ยิ่งเซ็ง เพราะมันไม่ต่างกับปาหี่ไม่สมราคากับที่ตั้งตารอ
อย่างไรก็ดี หากมองว่านี่คือเกมที่ต้องการบล็อกฝ่ายการเมืองในทำนองว่าอย่าเคลื่อนไหวโดยพลการ เพราะเห็นอาการแล้วมัน “ทะแม่ง” พิกล!