“บิ๊กตู่” สั่ง สธ. ชู รพ.เอกชน หัวหอก “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หลัง “รพ.เอกชน” หลายแห่ง เตรียมงบลงทุนมหาศาลเข้าพัฒนาดึงลูกค้าชายแดน - นักท่องที่ยว ด้าน รัฐบาลเร่งผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (ฮับ) พัฒนาคุณภาพ รพ.เอกชน ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ พร้อมกำชับ สธ. และ กก. จับมือส่งเสริมมาตรฐานสถานบริการสุขภาพ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและรายได้เข้าประเทศ
วันนี้ (14 ก.พ.) มีรายงานว่า ภายหลังรัฐบาลเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ กลุ่มโรงพยาบาลส่วนกลางมีความเคลื่อนไหวเพื่อลงทุนในจังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน เพื่อรองรับผู้ป่วยในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ จีนตอนใต้ พม่า ลาว และนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากในแต่ละปี มีเตรียมงบฯลงทุนไว้อย่างมหาศาล
ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของแม่สอด จ.ตาก ที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสำคัญของไทยที่เชื่อมกับประเทศจีน ถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ในปี 2559 ที่รัฐบาลจะส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ท่องเที่ยว
ขณะที่สัปดาห์ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกิจการเป้าหมายในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดเชียงราย จังหวัดนครพนม และจังหวัดหนองคาย เพิ่มพื้นที่ลงทุนให้กับ กิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ หรือชิ้นส่วน รวมถึงกิจการผลิตยา เช่น กรณีการผลิตยาแผนปัจจุบัน ต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP ตามแนวทาง PIC/S ภายใน ๒ ปี นับแต่วันครบเปิดดำเนินการ และกรณีการผลิตยาแผนโบราณ ต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP ภายใน ๒ ปี นับแต่วันครบเปิดดำเนินการ ในกรณีการปรับปรุงกิจการเดิม จะอนุญาตให้นำเครื่องจักรเดิมมาใช้ในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมได้ แต่ไม่ให้นับเป็นมูลค่าการลงทุนของโครงการ
วันนี้ เว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรี เผยแพร่ คำให้สัมภาษณ์ของ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งผลักดันนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยและผู้ใช้บริการด้านสาธารณสุขจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านระบบบริการสุขภาพรองรับประชาคมอาเซียนที่จะมีประชาชนทั้งจากในภูมิภาคและทั่วโลกเดินทางเข้ามายังประเทศไทย เพื่อใช้แรงงาน ท่องเที่ยว หรือประกอบธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา
“ประเทศไทยมีโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนที่ผ่านการรับรองคุณภาพระดับสากล โดยเฉพาะมาตรฐานเจซีไอ (Joint Commission International) 50 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน และยังมีสปาไทย นวดไทย น้ำพุร้อน รวมทั้งผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่เป็นเอกลักษณ์ โดยสถิติในปี 2557 มีผู้ใช้บริการทางการแพทย์เดินทางเข้ามาถึง 1,200,000 ครั้ง มากเป็นอันดับ 1 ของโลก และโรงพยาบาลเอกชนของไทยยังได้รับการโหวตให้อยู่อันดับ 1 ใน 10 ของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลกด้วย”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในปี 2559 รัฐบาลจะส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ 10 จังหวัด คือ กทม. ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา กระบี่ พระนครศรีอยุธยา พังงา และประจวบคีรีขันธ์ และพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัด คือ ตาก มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา และตราด รวมจำนวน 172 แห่ง ให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเจซีไอ หรือมาตรฐานเอชเอ (Hospital Accreditation) มากขึ้น
“ท่านนายกฯ กำชับให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.)เร่งบูรณาการส่งเสริมคุณภาพมาตรฐานของโรงพยาบาลและสถานบริการด้านสุขภาพของไทย เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการ สร้างรายได้เข้าประเทศ”
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอนามัยของคนไทยที่ยังมีสถิติการดื่มเหล้า และสูบบุหรี่สูงอยู่ โดยมีผู้สูบบุหรี่จำนวนกว่า 10 ล้านคน เสียชีวิตปีละกว่า 50,000 ราย และมีจำนวนผู้ดื่มเหล้าสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก จึงอยากให้คนไทยหันหาใส่ใจสุขภาพ โดยมาตรการขึ้นภาษีบุหรี่ก็เป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่รัฐบาลต้องการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ให้น้อยลง