“ประยุทธ์” ย้ำ คสช .ผลงานเพียบ อัดคนทำผิดอย่ามัวอ้างสิทธิมนุษยชน - เสรีภาพ สรุปความคืบหน้ารถไฟฟ้า 10 สาย พร้อมยอมรับรถไฟไทย - จีน ติดขัดหลายเรื่อง ส่วนชินคันเซ็นไปเชียงใหม่ยังไม่รู้เริ่มเมื่อไร เหตุไม่มีงบ ขู่พวกพล่ามผ่านโซเชี่ยล เล็งหาช่องกฎหมายเอาผิด โวยจำไว้ด้วย ไม่ชอบให้ใช้คำว่า “ขู่ - โม้ - จ้อ” กับตน ลั่นเป็นถึงนายกฯ ไม่ใช่หมูหมากาไก่
วันนี้ (12 ก.พ.) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยตอนหนึ่ง ว่า อยากให้ประชาชนช่วยพิจารณาว่า สิ่งที่รัฐบาล และ คสช. ได้ดำเนินการไปแล้วมีอะไรบ้าง หลังจากที่เข้ามาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 57 คสช. ได้นำความสงบสุขกลับคืนมา สร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคง ปลดล็อกในทุกเรื่องที่ติดขัด ในส่วนของการบริหารราชการแผ่นดิน ก็ได้พบปัญหาต่างๆที่สะสมมากมาย อาทิ ปัญหางาช้าง ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน การจัดระเบียบสังคม ความเดือดร้อนของเกษตรกร ตลอดจนปัญหาความมั่นคง ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสถานะของประเทศในเวทีโลก ในการค้า การลงทุน ซึ่งต้องเร่งแก้ไข และก็เป็นเวลาพอดีดับภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำลงทั้งหมด
“รัฐบาลก็พยายามจะแก้ไข ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาด้วย ถ้าเร็วเกินไปก็อาจจะมีปัญหาต่อไปในอนาคต ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ด้วยดี ในระดับที่เป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม รัฐบาล และ คสช. ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว ในการบริหารราชการแผ่นดินในวันนี้ หลายเรื่องเสร็จแล้ว หลายเรื่องกำลังทำ หลายเรื่องต้องทำต่อเนื่องอีกมากมาย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการปฏิรูปต้องมีการประสานสอดคล้องกันทั้งหมด ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุก 5 ปี วันนี้เรากำลังสร้างความเข้มแข็งของประเทศ วางพื้นฐานทั้งหมด ต้องทำต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยต้องใช้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน จึงอยากเรียน บรรดากลุ่ม NGO ให้เข้าใจว่า บางอย่างนั้นเราต้องเดินหน้าประเทศ ประโยชน์ส่วนใหญ่เพื่อส่วนรวม เป็นสิ่งที่ท่านต้องพิจารณาใหม่ ไม่เช่นนนั้นก็เกิดปัญหาทั้งหมด แล้วก็บอกว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งนี้ตนได้สั่งการให้จัดทำแผนผังความสัมพันธ์แม่น้ำ 5 สายของ คสช. ขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย ๆ ว่า วันนี้เราทำงานมากมายแค่ไหน และทุกอย่างเดินหน้าไปตามโรดแมปทั้งสิ้น โดยการดำเนินการต่างๆจำเป็นต้องมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือมีกฎหมายลูก เพื่อให้ดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
“รัฐบาลนี้จะทำแผนระยะยาวไว้ 20 ปี แผนที่ว่าไม่ใช่แผนที่จะต้องลงละเอียดเป๊ะๆ ไม่ใช่บังคับ แต่จะเป็นกรอบที่จะต้องเป็นเข็มทิศนำทางที่ผมเรียนท่านแล้วนะ เป็นโรดแมปในทุกเรื่อง ในนั้นจะบรรจุในเรื่องของแผนปฏิรูปไว้ด้วยให้สอดคล้องกับแผนของสภาพัฒน์ฯทุก 5 ปี” หัวหน้า คสช.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการสร้างการรับรู้ของรัฐบาล ว่า รัฐบาลได้พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้าน บิดเบือนอยู่มากพอสมควร วันนี้เราไม่ได้ห้ามใครแสดงความคิดเห็นอันบริสุทธิ์เลย เว้นแต่อย่าทำผิดกฎหมาย หรือไปวิพากษ์วิจารณ์โดยเจตนาไม่สุจริต การที่ไปพูดจาต่างประเทศ ไปออกอากาศขยายความออกไป สื่อดี ๆ ก็มี ที่พยายามไม่เข้าใจก็มีอยู่ไม่กี่สื่อ คนที่เห็นต่างก็อย่าไปบิดเบือนว่าตัวเองทำความผิดแล้วจะต้องพ้นผิด เพราะใช้สิทธิมนุษยชน ใช้เสรีภาพ ใช้ประชาธิปไตย ยังไม่ใช่เวลาวันนี้ ขอให้ทุกคนอย่าไปเชื่อมากนัก
“สิ่งที่ท่านต้องการ เมื่อให้ไปไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับสิ่งที่เราวางเจตนารมณ์ไว้ ท่านก็กลับมาโจมตีรัฐบาล เพราะงั้นท่านอยากให้รัฐบาลตามใจหรือง่ายนิดเดียว ผมก็ไม่ต้องทำอะไร ก็ไม่ต้องมาปวดหัว ไม่ต้องมาทะเลาะ ขัดแย้งกับใคร ไม่ต้องหงุดหงิดด้วย ก็ขอร้องพี่น้องแล้วกันช่วยกันนิดหนึ่ง แต่ถ้าผิด ต่อไปก็มาว่าผมแล้วกัน ว่ามันผิด ผมจะได้ไม่พูด” นายกฯระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรางด้วยว่า โครงการรถไฟฟ้า 10 เส้นทางใน กทม. นั้น สายสีม่วง (บางใหญ่ - เตาปูน) สร้างเสร็จแล้ว จะทดลองเดินรถเต็มรูปแบบในช่วงเดือน พ.ค. 59 แล้วก็จะเปิดบริการในเดือน ส.ค. 59 ส่วนสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (ช่วงหัวลำโพง - บางแค และ บางซื่อ - ท่าพระ) ก่อสร้างไปแล้ว 70% มีทั้งแบบใต้ดินและยกระดับ มีอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของไทย จะเปิดให้บริการเดือน เม.ย. 62 สายสีเขียว (ตอนใต้) ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ก่อสร้างแล้ว 70% เปิดให้บริการ ก.พ. 61 และสายสีเขียว (ตอนเหนือ) ช่วงหมอชิต - คูคต ก็จะเปิดให้บริการ ก.พ. 63 ต่อไป ขณะที่สายสีแดง (ช่วงบางซื่อ - รังสิต) คืบหน้ากว่า 50% จะเปิดให้บริการ ก.ย. 63 สายสีแดงอ่อน (ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน - หัวหมาก) และสายสีแดงเข้ม (ช่วงบางซื่อ - หัวลำโพง) ยังอยู่ระหว่างการศึกษา สายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อปลายปี 2558 อยู่ระหว่างการจัดทำราคากลาง จะเริ่มประกวดราคาและก่อสร้างเร็วๆนี้ มีแผนจะเปิดให้บริการปลายปี 63 สายสีชมพู (มีนบุรี - แคราย) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว - สำโรง) พยายามผลักดันให้เปิดบริการในปี 63 สุดท้ายส่วนต่อขยายสายสีม่วงลงทางใต้ (เตาปูน - ราษฎร์บูรณะ) อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ EIA และเกาะรัตนโกสินทร์นะครับ
สำหรับการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการพัฒนารางรถไฟทางเดี่ยวที่วิ่งสวนกันไม่ได้ ที่มีอยู่เดิม 4,000 กว่ากิโลเมตร ทำเสริมเป็นทางคู่นะครับ วิ่งสวนคนละเส้นทาง ในระยะแรก 905 กิโลเมตร มี 2 เส้นทาง ที่เริ่มก่อสร้างในเดือน ธ.ค. 58 - ต้นปี 2559 ได้แก่ ช่วงฉะเชิงเทรา - คลอง 19 - แก่งคอย น่าจะเสร็จได้ในปี 61 และช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น แล้วเสร็จปี 2562 ในส่วนเส้นทางอื่นๆอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงาน EIA ขณะที่การสร้างรถในความร่วมมือไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ - มาบตาพุด - แก่งคอย - หนองคาย เดิมมีการพัฒนาทั้งหมดตลอดเส้น วันนี้ไม่ได้แล้ว ดูแล้วความพร้อมบางเส้นทางยังไม่สมบูรณ์เลย เพราะมีการบุกรุกเยอะ ต้องขยายเส้นทาง ต้องเวนคืน ต้องมีขั้นตอนอีกมากมาย ส่วนโครงการความร่วมมือรถไฟ ไทย - ญี่ปุ่น เรียกว่าแบบ “ชินคันเซ็น”, ระยะทางรวม 672 กิโลเมตร เส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ยังทำอะไรไม่ได้ อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ คาดว่า จะศึกษาเสร็จในเดือน มิ.ย. 59 แล้วก็จะดำเนินการต่อไป แต่ก็ยังไม่มีงบประมาณ จะผ่าน EIA หรือ HEIA หรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ อีกส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงว่า เป็นการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน 2 โครงการ 2 เส้นทาง ก็คือ ช่วงกรุงเทพฯ - หัวหิน ระยะทาง 211 กิโลเมตร และ กรุงเทพฯ - พัทยา - ระยอง ระยะทาง 193 กิโลเมตร ก็ต้องไปดูว่าได้หรือไม่ได้อย่างไร
นายกฯกล่าวต่อไปถึงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ว่า ตลอดระยะเวลาเป็นเดือนมาแล้ว โดยเฉพาะ 2 - 3 อาทิตย์ที่แล้ว วุ่นวายเป็นประเด็นการเมืองไปหมดแล้ว ก็อยากขอให้ทาง กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ทำงานไป ส่วนอื่นก็ไปศึกษาแล้วพิจารณาว่าจะลงมติกันยังไง แต่อยากให้นึกถึงปัญหาประเทศด้วย ประชาธิปไตยอย่างเดียวไปไม่ได้ทั้งหมด ถ้าประชาชนคิดเองยังไม่ได้ ไม่ทำความเข้าใจ แล้วก็ให้บรรดานักเคลื่อนไหวทั้งหมด หรือนักการเมืองที่ไม่ดีมาชี้นำประเทศ คงไม่หลุดพ้นกับดักประชาธิปไตย กับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง กับดักความล้มเหลว ประชาชน 70 ล้าน ต้องช่วยกัน อะไรร่วมมือได้ อะไรเห็นต่าง ว่าไป ต้องประเทศมาก่อน
“สิ่งสำคัญ คือ การเคารพกฎหมาย จิตสำนึก อุดมการณ์ ประเทศชาติมาก่อน เคารพกระบวนการยุติธรรม รู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้เสรีภาพตามกฎหมาย อย่าไปรบกวนคนอื่น เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยที่ถูกต้อง อย่ามองเลือกตั้งอย่างเดียว ถือเสียงส่วนใหญ่ ไม่สนใจส่วนน้อย เรียกร้องสิทธิอย่างเดียว ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หรือทำอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย หรือแสดงความเห็นต่าง ความไม่ร่วมมือ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
หัวหน้า คสช. กล่าวด้วยว่า ตามสื่อ ตามโซเชียลมีเดีย มีการนำเสนอข้อมูลหลายส่วนที่ผิดกฎหมาย การพูดจาที่ไม่มีสาระ ไม่มีหลักฐาน พูดเรื่อยเปื่อยอาจจะผิดกฎหมายด้วย เรื่องนี้ไม่ได้ขู่
“ผมไม่ชอบ คำ 2 คำนี่ ขู่ หรืออะไร จ้อ โม้ อะไรทำนองนี้ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นทหาร ผู้บัญชาการทหารบกเก่า ผมเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป ไม่ใช่หมู หมา กา ไก่ เพราะงั้นจำไว้ด้วย” หัวหน้า คสช.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เป็นวันแห่งความรัก ตนเป็นห่วงบรรดาวัยรุ่น คู่รักต่าง ๆ ระมัดระวังตัวเอง เวลาไปเที่ยวผู้หญิงต้องระวังตัว มีคุณค่า ผู้ชายก็ให้เกียรติผู้หญิง อย่าเอารัดเอาเปรียบ แล้วทำให้ประเพณีไทยเสียหาย วัฒนธรรมเราดีงาม สวยงาม ต่างชาติเขาก็เป็นแบบของเขามา ไม่ใช่เขาดีหรือไม่ดี ไม่ว่าเขา แต่ของเราเคยดีอยู่แล้ว อย่าทำ อย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกัน
คำต่อคำ : รายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญที่อยากจะเรียนให้ทราบสัปดาห์นี้ เรื่องที่ 1 ประชาชนทุกท่าน อยากให้ท่านพิจารณาดูว่าท่านทราบหรือยังว่า สิ่งที่รัฐบาลนี้ คสช.ได้ดำเนินการไว้ มีอะไรบ้าง ช่วยกรุณาพิจารณาคิดย้อนกลับไปดูว่าอะไรที่เราทำเสร็จแล้ว อะไรที่ได้เริ่มทำ และได้มีการแก้ไข อะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง อะไรที่ต้องเริ่มต้นใหม่และทำต่อเนื่อง
หลังจากเข้ามาวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช.ได้นำความสงบสุขกลับคืนมา ได้ดำเนินการสร้างศักยภาพด้านความมั่นคงให้กับประเทศ ปลดล็อกในทุกเรื่องที่ติดขัด ทั้งที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งในเรื่องอื่นๆ ด้วยก็ตาม ตลอดจนกระบวนการประชาธิปไตยที่มีข้อจำกัด เพื่อจะขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้นั้น เราก็ได้นำทุกเรื่่องเข้าสู่การพิจารณาดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องคดีต่างๆ ก็นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ในส่วนของการบริหารราชการแผ่นดินในห้วงต่อมานั้น ผมได้พบปัญหาต่างๆ ที่สะสมมามากมาย ของประเทศเรามาหลายอย่างด้วยกัน อาทิ ปัญหางาช้าง ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน ตลอดจนความไม่เป็นสากลต่างๆ กฎหมายที่ไม่ทันสมัยเหล่านี้เป็นปัญหาทั้งสิ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสถานะของประเทศในเวทีโลกในการค้าการลงทุนทั้งสิ้น
สำหรับปัญหาภายในประเทศที่ต้องเร่งแก้ไขได้แก่ ปัญหาด้านความมั่นคงหลายอย่างด้วยกัน ทั้งในส่วนของการบูรณาการ การสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนจากประเทศ ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร ปัญหาในการจัดระเบียบสังคม ถนนหนทาง การขายของ ปัญหาการทำงานที่ไม่บูรณาการ ผมเคยกราบเรียนแล้วว่า มันจะต้องบูรณาการกันทั้งคน เจ้าหน้าที่ แผนงาน องค์การ และงบประมาณ เพื่อจะไม่ซ้ำซ้อนทำในเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เป็นพื้นที่หรือเป็นกิจกรรมที่กำลังเดินหน้าอยู่ ปัญหาเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษที่ต้องมีการฟื้นฟูจากภาวะขาดทุน และอาจจะไม่มีความโปร่งใส มนบางประเด็น รัฐบาลก็อยากจะแก้ไข ซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาด้วย ถ้าเร็วเกินไป มันจะมีปัญหาต่อไปในอนาคตทุกอย่าง ต้องเดินหน้าไปได้ด้วยดีในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและ คสช.นั้น ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว การบริหารราชการแผ่นดินในวันนี้ ก็เป็นโอกาสที่พวกเราเข้ามาพอดี เศรษฐกิจโลกตกต่ำลงทั้งหมด ด้วยหลาย ๆ สาเหตุด้วยกัน ทุกเรื่องถ้าเรายังไม่มีความพร้อมต้องรีบแก้ไขนะครับ ปรับปรุง ต้องสร้างความเข้มแข็ง เรื่องช่วยเหลือ ผู้เดือดร้อน เพื่อเป็นการบรรเทาไปในระยะหนึ่งก่อน แล้วก็เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น รัฐบาลและ คสช. รวมทั้ง สนช. สปท. กรธ.ก็ได้ดำเนินการในทุกเรื่อง หลายเรื่องเสร็จแล้ว หลายเรื่องกำลังทำ หลายเรื่องต้องทำต่อเนื่องอีกมากมาย นั่นคือเหตุผลที่ผมพูดมากทุกวัน เพราะบางทีก็ลืมไปแล้ว ปีกว่าสองปี ลืมหมด
ในเรื่องของการปฏิรูปสิ่งสำคัญก็คือว่าทุกเรื่อง ต้องมีการประสานสอดคล้องกันทั้งหมด ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุก 5 ปี นโยบายความมั่นคงของ สปช.และแผนงานของทุกส่วนราชการ รวมความไปถึงแผนการปฏิรูป ที่เราได้วางไว้ แผนปฏิรูปในช่วง 1-5 ปี แล้วสอดคล้องกับแผนสภาพัฒน์ 5 ปี และไป 4 แผน 4 5 20 ฉะนั้นเราได้เตรียมแผนปฏิรูปไว้เป็นระยะ ระยะที่ 1 คือถึงปี 60 รัฐบาลนี้ยังอยู่ อันนี้คือใช้แผนที่ 12 เริ่มต้นเราจะเอาแผนที่ 12 บางอย่างที่เราร่างไว้แล้วมาขับเคลื่อนให้ได้ก่อนปี 59 ฉะนั้นวันนี้เรากำลังสร้างความเข้มแข็งของประเทศ วางพื้นฐานทั้งหมด เหลือเวลาของผมอีกประมาณปีกว่าๆ ถึงปี 60 แต่หลังจากปี 60 ไปแล้วนั้น มันเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 12 เต็มๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องวางว่า 60-64 มันจะเป็นยังไง 65-69 มันจะเป็นยังไง 70-47 จะเป็นยังไง 75-79 จะเป็นอย่างไร นั่นคือยุทธศาสตร์ 20 ปี และมองย้อนกลับมาว่าเราจะทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ แผน 12-15 ได้อย่างไร เพื่อเป็นการประเมินผลความคืบหน้าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทุกรัฐบาล ถอยหลังทุก 5 ปี และกำหนดเป้าหมายไว้ล่วงหน้า แล้วก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลต่อไป ในลักษณะที่จะต้องมีความเหมาะสม สอดคล้อง
ฉะนั้นการปฏิรูปประเทศนั้น เราอาจจะต้องทำกันอย่างต่อเนื่อง บางเรื่องอาจจะจบภายในปีเดียว หรือภายใน 5 ปี หรือภายใน 10 ปี หรือภายในเวลา 20 ปี มันอาจจะนานกว่านั้นก็ได้ เพราะว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะ 20 ปีข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ สถานการณ์โลกมันเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ปัจจัยภายนอกเป็นสิ่งสำคัญ ทุกประเทศในโลกนี้มีผลกระทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการบริหารประเทศของทุกรัฐบาลต่อไปนี้ ต้องทันต่อทุกสถานการณ์ มีการวางแผนล่วงหน้าตลอดเวลา มีมาตรการลดความเสี่ยง และมีกลยุทธ์ยุทธศาสตร์ตามห้วงระยะเวลาที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนด้วยนะครับ อยากจะเรียนว่า ในการปฏิรูปประเทศนั้นอย่าใจร้อนมากนะครับ เพราะว่ามหาอำนาจบางประเทศ ผมไม่อาจจะกล่าวนามได้นะ ยังไม่หยุดการปฏิรูปเลยวันนี้ เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อยอยู่มากกว่าเราอีก แต่ส่วนรวยก็คือรวย ส่วนตรงกลางก็ตรงกลาง แต่เขามากกว่าเราไง
เพราะฉะนั้นยังไงก็ตามเขาก็ต้องพัฒนาไปสู่ข้างล่าง เพราะมันเป็นสาเหตุของการที่มีความขัดแย้ง หรือความเดือดร้อนในสังคม ในเรื่องของอาชีพ รายได้ ทำให้มีช่องว่างในการพัฒนานะครับ ประชาชนอาจจะไม่มีความสุข ถ้าหากเขามีรายได้น้อยหนี้สินมาก บ้านเราก็เป็นมากนะครับเรื่องนี้ที่ผมกล่าว เราต้องแก้ปัญหานะครับ และไม่ใช่แก้ทั้งหมดทีเดียว มันแก้ไม่ได้หรอกครับ เพราะงบประมาณจำนวนมาก เราต้องทำทั้งระดับบน ระดับกลาง ระดับล่างคือ รวยมาก รวยน้อย ตรงกลางหมายถึงรายได้น้อย มันจะต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกันนะครับ เราเรียกว่าอยู่ในวงจรที่เรียกว่า ห่วงโซ่คุณค่า ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เกื้อกูลต่อกัน พี่จูงน้อง อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่มันจะต้องเกิดขึ้นในสังคมไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะครับ เราต้องเข้มแข็งจากทั้งภายในประเทศ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ก็คือ ชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัด และไปต่างประเทศ เราต้องร่วมมือกันทำงานแบบประชารัฐนะครับ ในทุกๆ อย่างทั้งการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิบัติงานในพื้นที่ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนต้องร่วมมือให้ได้
เพราะฉะนั้นผมอยากจะเรียกบรรดากลุ่มเอ็นจีโอทั้งหมด ต้องเข้าใจนะครับว่า บางอย่างนั้นเราต้องเดินหน้าประเทศ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนได้พิจารณาดูให้ถ่องแท้นะครับว่า สิ่งที่ทำไปนั้นมันมีประโยชน์กับใคร หรือทำให้ใครเสียประโยชน์ และอะไรมันมากมันน้อย และจะแก้ปัญหาที่เสียประโยชน์อย่างไร ประโยชน์ส่วนใหญ่มันจะได้มาเพื่อส่วนรวมหรือเปล่า เหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องพิจารณาใหม่นะครับ ไม่อย่างนั้นมันเกิดปัญหาทั้งหมด และท่านบอกว่า รัฐบาลนี้ทำอะไรไม่ได้เลย ทุกรัฐบาลทำไม่ได้หมด เพราะมันขัดแย้งกันไปในตัวอยู่แล้วโดยปัจจัยพื้นฐาน บางอย่างมันต้องเปลี่ยนแปลง บางอย่างต้องมีการเปลี่ยนวิธีการ ถ้าท่านบอกว่า เอาพื้นฐานกำหนดมันก็ไปไม่ได้ก็ต่อต้านขัดแย้งกันทั้งหมด ทำอะไรก็ไม่สำเร็จหรอกครับ ประเทศก็ไปไม่ได้ เราจะมีพูดน้อยๆ อยู่แบบนี้ตลอดเวลานะครับ
ถ้าท่านได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่น้ำ 5 สายนะครับ ผมได้จัดทำแผนผังขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ เดี๋ยวท่านคงได้เห็นกันทั่วไป กรุณาดูซักนิดหนึ่งนะว่า วันนี้เราทำงานมากแค่ไหนในตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ 22 ทุกอย่างเดินหน้าไปตามโรดแมปที่ผมกำหนดไว้ทั้งสิ้น มีกิจกรรมในนั้นทั้งที่เขียนลงไปแล้ว บางอย่างก็อาจจะลงไปยังไม่ครบ แต่ให้รู้ว่าเราต้องเดินหน้าประเทศแบบนี้ ทั้ง 6 กลุ่มนะครับ ที่เรามีรองนายกรัฐมนตรีกำกับอยู่ในขณะนี้ทั้ง 19 กระทรวงนะครับ ที่กำลังเดินหน้าประเทศอยู่
เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกพวกทุกฝ่ายนะครับ แม้กระทั่งฝ่ายการเมืองที่จะอาสาเข้ามาทำงานให้กับประเทศในห้วงต่อไป เพราะฉะนั้นประชาชนที่เลือกท่านเข้ามานั้น ขอให้ท่านเคารพในสิทธิของเขาบ้าง สิทธิของประชาชน ไม่ต้องรอให้ขอทุกครั้งไปถึงจะช่วย หรือเลือกช่วย หรือเฉพาะเพื่อเป็นฐานเสียงให้ ผมว่าผิดหลักการประชาธิปไตยนะครับ หลาย ๆ ท่านได้กล่าวไว้แล้ว ในขณะนี้
เรื่องที่ 2 การดำเนินการดังกล่าวนั้น จำเป็นจะต้องกล่าวไว้ ในรัฐธรรมนูญ หรือมีกฎหมายลูก เพื่อที่จะได้ดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่อง ผมกล่าวไปแล้วว่า เรื่องปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ เรื่องความมั่นคง ทุกอย่าง มันไม่เดินไปปีเดียวแล้วเลิก ปีหน้าเปลี่ยนใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ เราก็จะไม่มีสะเปะสะปะ ไม่มีทิศทาง หางเสือ เข็มทิศนับทาง เพราะฉะนั้นใช้เข็มทิศให้เกิดประโยชน์ด้วย ไม่งั้นก็จะเกิดฟปัญบหาาตามมา แผ่นดิน ผมเข้าใจดีนะครับว่า รัฐบาลต่อไป ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ในสิ่งที่ผมทำ ไว้แล้วมันจะทำให้ท่านลำบากหรือเปล่า
ผมกราบเรียนเลยว่า ถ้าทุกคนจะต้องลำบาก ลำบากด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลำบาก เพราะเราทำให้ ทุ่มเทกับประชาชน ผมว่า นั่นแหละคือความลำบากที่ต้องเจอ ไม่ใช่ลำบากที่จะใช้จ่ายงบประมาณ ลำบากในการที่จะทำนโยบายต่าง ๆ มันเป็นปัญหา ไม่ใช่ ๆ ผมไม่ต้องการอย่างนั้น เพระอย่างนั้น ท่านก็กรุณา เป็นไปตามยุทธศาสตร์ เป็นไปตามแผนปฏิรูป เป็นไปตามนโยบายด้านความมั่นคง แล้วก็เดินไปสู่การบริหารแผ่นดินในสิ่งที่ท่าน เป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง จะมีนโยบายพรรค อะไรต่าง ๆ ท่านก็ว่าของท่านไป เรากำหนดแนวทางไว้ให้ มีแผนสำเร็จรูปไว้ให้ แต่ท่านจะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับท่าน ท่านก็ตอบสภา ตอบ มีแผนสำเร็จรูปไว้ให้ แต่ท่านจะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับท่านนะ ท่านก็ต้องตอบสภา ตอบในส่วนที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด มีเหตุผลความจำเป็นอย่างไรถึงทำ ไม่ทำ อะไรก็แล้วแต่ ผมไม่บังอาจไปบังคับท่านได้อีกต่อไปแล้วนะครับในวันหน้า เพราะอย่างนั้น ทุกคนจะต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคง สร้างความเชื่อมั่น ไว้เนื้อเชื่อใจในการที่จะ ทำอะไรก็ตามเพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศนะครับ ทำเพื่อประชาชน เราต้องปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ การเกษตร อุตสาหกรรม การค้าการลงทุนนะครับ และทุกอย่างต้องเข้มแข็งจากภายในตามแนวทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระดับหมู่บ้าน ชุมชน จังหวัด กลุ่มจังหวัด ไปการค้าชายแดน ไป CLMV ไปอาเซียน ไปประชาคมโลกอื่นๆ
เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้จะทำแผนระยะยาวไว้ 20 ปี แผนที่ว่าไม่ใช่แผนที่จะต้องลงละเอียดเป๊ะๆๆ มันไม่ใช่ บังคับท่านไม่ได้ แต่มันจะเป็นกรอบที่จะต้องเป็นเข็มทิศนำทาง อย่างที่ผมเรียนท่านแล้ว มันเป็นโรดแมป ในทุกเรื่อง ในนั้นจะบรรจุเรื่องของแผนปฏิรูปไว้ด้วยให้มันสอดคล้องกับแผนพวกนี้ สภาพัฒน์ก็ทำแผน 5 ปี สอดคล้องกับตรงนี้ ทุก 5 ปีมันก็เปลี่ยนได้ ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ ถ้ามันมีความจำเป็น เช่น ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน วันนี้ต้องรู้แล้วว่าประเทศไทยอีก 20 ปีข้างหน้ามันจะเดือดร้อนอะไร วันนี้เราเดินมาเท่าไหร่แล้ว เราต้องเดินอะไรอีก ระยะที่เหลือทุก 5 ปีๆ หรือทุกปี ที่เป็นเรื่องของท้องถิ่น นี่ล่ะครับมันถึงจะไปสู่การกระจายอำนาจ การใช้จ่ายงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นถ้าหากท่านวันหน้ามีปัญหากันในเรื่องเหล่านี้ ก็เป็นเรื่องของสภาทั้งสองสภาก็ต้องไปหารือร่วมกันว่าจะทำยังไง จะแก้ปัญหาอย่างไร ใครจะเป็นคนตัดสินไม่รู้ เพราะฉะนั้นท่านต้องไปสร้างความเข้มแข็งให้ได้เสียก่อน อย่ามองว่าทำอันนี้เพื่อจะอย่างโน้นอย่างนี้ แสดงว่าท่านก็คิดว่ามันจะมีเรื่อง มันจะมีความทุจริต มันจะมีความขัดแย้ง ใช่หรือไม่ ถ้าเราคิดว่าทุกคนพยายามไม่ไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ไปสู่ประเด็นแห่งปัญหาทั้งหมด ผมว่าก็ไม่ต้องไปกลัวใครทั้งสิ้น เพราะเขาทำอะไรท่านไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งทำแบบผมก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่มีสาเหตุ แล้วให้แก้ปัญหาอะไรก็แก้ไม่ได้ มันก็ต้องดำเนินการตามที่ผมทำมานี่ล่ะ เพราะฉะนั้นขอให้แยกแยะให้ออกว่าอะไรคือยุทธศาสตร์ อะไรคือนโยบายพรรค อะไรคือนโยบายรัฐบาล อะไรคือประชาชน ขอให้ดูด้วย ฝากไว้แล้วกัน ประชาชนช่วยกันดูด้วย
ทั้งนี้ เพื่อจะให้ประเทศเป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ คือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง แก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความเท่าเทียม ความเป็นธรรม ประชาชนทุกคนได้เห็นอนาคตล่วงหน้า 20 ปี คือเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมา ปี 60 เกิดมาพร้อมแผน 12 เขาจะได้รู้ว่า 20 ปีข้างหน้า เขาเรียนหนังสือ จบปริญญาตรี แล้วเขาจะเห็นอะไรในประเทศเขา เขาจะได้คิดว่าเขาจะเรียนหนังสือยังไง เขาจะพัฒนาตัวเองยังไง เพื่อจะไปสู่จุดๆนั้น เมื่อเขาจบปริญญาตรี อายุ 19 - 20 ผมก็คิดไว้แบบนี้ ถูกหรือผิดก็ไปคิดกันเอาเอง
เรื่องที่ 3 ทุกรัฐบาลนั้น จะต้องเอาปัญหาประเทศมาเป็นตัวกำหนด แยกปัญหาออกให้ชัดเจน ปัญหาหลัก ปัญหารอง ปัญหาที่เป็นปัจจัยเสริมให้มันแรงขึ้น ความขัดแย้งมันแรงขึ้น ต้องเอาปัญหาทุกอันมาคลี่ให้ดูหมด แล้วเอาประชาชนทุกคนในประเทศมาเป็นเป้าหมาย จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้เกิดผลกับประชาชนมีความสุข ระหว่างทางนี้เราก็มาสู่วิธีการบริหารแผ่นดิน ที่เป็นธรรมาภิบาล ต้องไปดูเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณด้วย การจัดทำแผนงานทุกกระทรวงนั้น ถ้าหากว่าเราทำไปโดยไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเหล่านี้ไปด้วย มันไม่อาจจะนำประเทศไปสู่ความเข้มแข็งได้เลย เราจำเป็นต้องมีการปฏิรูปทั้งหน่วยงาน ทั้งโครงสร้าง ทั้งขบวนการ ที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง อย่างแท้จริง
เรื่องที่ 4 คือการที่จะเพิ่มความสามารถของประเทศนั้น ก็ต้องมีจุดมุ่งหมายชัดเจนในทุกประเด็น ว่ามันต้องมีพัฒนาการความเสี่ยง และรู้ว่าปัจจัยภายนอก สถานการณ์โลกมันเป็นยังไง การประเมิน ผมว่ามันมีหน่วยงานเยอะแยะไป ของยูเอ็นก็มี ประชาคมแต่ละประชาคมก็มี ทุกคนก็เขียนแผน เขียนกลยุทธ์ กันไว้หมด เอามาศึกษาเสียบ้าง เราจะได้ทำแผนสำรองให้สอดคล้องการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโลกร้อน ภัยพิบัติ น้ำแล้ง หรือการสู้รบอะไรก็แล้วแต่ เขาเรียกว่าภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ฉะนั้นขอให้เอาปัจจัยภายใน ภายนอก สถานการณ์โลกมาเป็นตัวกำหนดด้วย ว่าเราจะแก้ปัญหา เตรียมการประเทศเราให้พร้อมอย่างไร เข้มแข็งได้อย่างไร
เรื่องเศรษฐกิจนันมันเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเหมือนกันกับทุกคน ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยก็หนัก เพราะเรามีประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทำการเกษตร อาชีพอิสระอื่นๆประมาณ 30 -40 ล้านคน ในท้องถิ่นต่างๆ ฉะนั้นอาจจะไม่เข้าใจคำว่าเศรษฐกิจมากนัก ต้องเห็นใจพ่อแม่พี่น้อง เพราะวันๆก็ทำงานหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด อาจจะไม่มีเวลาที่จะศึกษารายละเอียด เพราะฉะนั้นก็ให้ทุกคนช่วยกันถ่ายทอด สร้างการเข้าใจ สร้างการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจมันผูกพันหลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่ส่งออก นำเข้า ตั้งแต่ภาษี ตั้งแต่รายได้ประเทศ เศรษฐกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ต้องเกื้อกูลกันอย่างไร ถ้าเรามองแต่เพียงว่าหาเงินให้ประชาชนมีใช้ไปเรื่อยๆๆๆ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปใช้ให้เขา แล้วเขาจะเข้มแข็งหรือเปล่า วันนี้รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างนะ ก็ขอให้เข้าใจด้วย ก็เสียใจทุกครั้งเวลาที่ทำอะไรไปแล้วไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างความเข้มแข็งให้ได้ อย่าไปทำอะไรที่มันเป็นเหมือนภาพลวงตา ไม่สร้างความยั่งยืน กลายเป็นว่าประชาชนกลายเป็นคนไม่มีเหตุมีผล มันมาอย่างนี้ได้ยังไง ใช้อย่างนี้ได้ยังไง ไม่สนใจ สนใจแต่เพียงว่าเราได้อะไร เราไม่ได้อะไร อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าเราไม่ได้สร้างวัฒนธรรมในองค์กรหรือในประเทศของเราให้มันเป็นองค์กรที่มีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน ลำบากก็ต้องลำบากด้วยกัน แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหา พยุงเพื่อน พยุงน้อง พยุงพี่ อะไรก็แล้วแต่ ต้องจูงมือไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นให้คำนึงถึงความสัมพันธ์ปัจจัยภายใน ภายนอก เป็นหลักด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความไม่เป็นธรรม เหลื่อมล้ำ ปัจจัยภายนอก โครงสร้างเศรษฐกิจไทย ความเข้มแข็งภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน เหล่านี้ทั้งหมดต้องแก้ไข
เรื่องสำคัญที่มองเห็นอีกอย่างคือการบูรณาการแผนงานโครงการของทุกกระทรวงในกิจกรรมเดียวกัน เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการปฏิรูปการเกษตรทั้งระบบ โครงการปฏิรูปเศรษฐกิจทั้งระบบ การปรับปรุงเรื่องการค้า การอำนวยความสะดวก กฎหมาย เรื่องการลงทุน สิทธิประโยชน์ อุตสาหกรม ขยายศักยภาพในการทำอุตสาหกรรมให้มันทันสมัยขึ้น รองรับการที่จะปรับเปลี่ยนการปฏิรูปเศรษฐกิจระยะที่ 4 ของโลกใบนี้ งานทุกงาน หลายงานไม่ใช่กระทรวงเดียวทำสำเร็จ เช่น เรื่องน้ำ มีทั้งเกษตรฯ ทั้งมหาดไทย ทรัพยากรฯ มีหลายกรมอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนต่างคนต่างทำ มันก็จะกระจายเป็นเบี้ยหัวแตกไปทั่ว เหมือนไปขุดตรงโน้น ตรงนี้ แต่ระบบส่งน้ำมันไม่มี มันก็ไปสู่ผู้ใช้น้ำไม่ได้ แล้วมันก็บริหารจัดการไม่ได้ นี่คือปัญหาของเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาทำงานในเรื่องของงบประมาณกันใหม่ ทำแผนโครงการกันใหม่ ต้องมีการบูรณาการ ผมจะใช้ตั้งแต่ปี 59 ไปเลยนะครับ ถึงงบประมาณออกมาแล้ว แผนงานออกมาแล้ว แต่ผมจะจับเข้ากรอบใหม่ และจะต้องทำตามโรดแมปที่ผมมีอยู่ปีกว่าๆ นี้ให้ได้ อย่างน้อยให้เกิดประโยชน์ ให้จบเป็นพื้นที่ ตามความต้องการของประเทศ ตามความเร่งด่วนให้ได้เสียก่อน ทำยังไงจะเกิดขึ้นให้ได้พร้อมๆ กัน อันนี้เสร็จ อันนี้อาจจะยังไม่เสร็จ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชน แต่ถ้าทุกคนต้องการเท่ากันทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ามันมีความแตกต่าง
สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้จะเข้ามาข้อ 6. คือเราต้องมีการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ ซึ่งผมกำลังร่างอยู่ มันจะทำให้เกิดการบูรณาการอย่างนั้นได้ เพราะไม่งั้นต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างทำแผน ต่างคนต่างใช้ ต่างคนต่างเบิก ทำสัญญา มันก็ทำคนละที่หมด วันนี้ต้องมาทำร่วมกัน แล้ววางโรดแมปว่าทุกอย่างต้องทำพร้อมกัน เรื่องน้ำ ทุกกระทรวงต้องเสนอกันมาพร้อมกัน เข้า ครม.พร้อมกัน แล้วไปเปิดทำสัญญาพร้อมกัน ผมว่ามันน่าจะทำได้นะ กำลังทำอยู่ ถ้าใครไม่เห็นด้วยก็เสนอมาแล้วกัน ผมว่ามันเป็นสิ่งที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วย ตรวจสอบก็ง่ายขึ้น แล้วก็จับต้องได้
เรื่องที่ 7 เรื่องการสร้างการรับรู้ รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้าน บิดเบือนอยู่มากพอสมควร ผมก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอะไรนะ วันนี้เราไม่ได้ห้ามใครแสดงความคิดเห็นอันบริสุทธิ์เลยนะ เว้นแต่อย่าทำผิดกฎหมาย เข้าช่องทางที่ไม่ถูกต้อง หรือไปวิพากษ์วิจารณ์โดยเจตนาไม่สุจริต เหล่านี้ ผมคิดว่าถ้าท่านยังทำอย่างนี้ต่อไป มันก็สร้างความไม่เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น แล้วประโยชน์เกิดกับใครล่ะ หรือผลเสียเกิดกับใคร เกิดกับประเทศชาติใช่มั้ย แล้วท่านไม่รับผิดชอบกันเลยหรือไง การที่ไปพูดจาต่างประเทศ ไปออกอากาศ ออกสื่อ สื่อก็รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ขยายความกันออกไป สื่อดีๆ ก็เยอะอยู่แล้ว ไอ้ที่พยายามไม่เข้าใจก็มีอยู่ไม่กี่สื่อ เพราะฉะนั้นท่านต้องรับผิดชอบนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าหากทั้งหมดเห็นต่าง แต่ต้องหาประเด็นเห็นร่วมกันได้ และอย่าไปบิดเบือนว่าตัวเองทำความผิดแล้วจะต้องพ้นผิด เพราะเราใช้สิทธิมนุษยชน ใช้เสรีภาพ ใช้ประชาธิปไตย มันไม่มีเวลาวันนี้
เพราะฉะนั้นวันนี้ทุกคนอย่าไปเชื่อมากนัก ไปพิสูจน์กันเองในวันหน้าแล้วกัน สิ่งใดที่เป็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้นมันทำให้ทุกคนลืมไปหมดเลย นึกถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวว่า ตัวเองทำยังไงจะดีกว่าคนอื่น มีหน้ามีตากว่าคนอื่น มีเงินมีทองใช้มากกว่า กลายเป็นอะไร อยากมีอำนาจกันทั้งหมดด้วยเงิน ด้วยอิทธิพล ผมว่ามันเลิกได้แล้วประเทศไทย หลายประเทศเขาเลิกกันหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าเรายังทำแบบเดิม รอรับการช่วยเหลือประกอบอาชีพแบบเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเพิ่ม เสริม เติมต่ออะไรก็แล้วแต่ ไม่พัฒนาความรู้เทคโนโลยี ไม่ใช้น้ำอย่างประหยัด ทุกอาชีพไม่สุจริต รัฐบาลต้องควักเนื้อไปเรื่อยๆ ดูแล แล้วเมื่อไรมันจะพอ แล้วเมื่อไรมันจะแข็งแรงซักที ต้องช่วยตัวเองบ้างนะครับ ฟังบ้างที่พูดออกไป ศูนย์แนะนำต่างๆ เขามีทุกจังหวัด ท่านไม่ฟัง แต่ท่านต้องการ เมื่อให้อะไรไม่ได้เพราะมันไม่ตรงกับสิ่งที่เราวางเจตนารมณ์ไว้ มันก็ให้ไม่ได้ ท่านก็กลับมาโจมตีรัฐบาล เพราะฉะนั้นถ้าท่านอยากให้รัฐบาลตามใจ มันง่ายนิดเดียว ผมจะได้ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ก็ไม่ต้องมาปวดหัว ไม่ต้องไม่ทะเลาะขัดแย้งกับใคร ไม่ต้องหงุดหงิดด้วย ขอร้องพี่น้องแล้วกันนะครับ ช่วยกันทำความเข้าใจนิดหนึ่ง แต่ถ้ามันผิด อะไรต่ออะไรไม่ต้องมาว่าผมแล้วกันว่ามันผิด ผมจะได้ไม่พูด
เพราะฉะนั้นอยากให้ประชาชนเข้าใจนะครับ เราหวังอนาคตให้กับประเทศ มันยากเหมือนกันในการจะปฏิรูป วันนี้ต้องปฏิรูปเกือบทุกอย่าง 37 วาระมั้ง เดี๋ยวท่านคงเห็นในผังที่ผมเขียนเข้าไป แต่วันนี้เราเริ่มต้นให้แล้วนะครับ ผมคิดว่าถ้าทุกคนร่วมมือตรงนี้ มันจะมีอนาคตแล้ว แต่ถ้าขัดแย้งกันตั้งแต่วันนี้ตั้งแต่ประชามติ ตั้งแต่เลือกตั้ง มันไปไม่ได้ทั้งหมด มันล้มทั้งหมด
เพราะฉะนั้นก็ขอร้องสื่อมวลชนนะครับ กรุณาอย่าเสนอข่าวที่มีความรุนแรงมากนักเลย ภาพอาชญากรรม ความเสียหาย ความเดือดร้อน ความรุนแรง มันไม่ทำให้เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย โอเคคนสนใจขายหนังสือได้ แต่ประเทศชาติเสียหาย ท่านจะทำยังไงลดรูปให้มันเล็กลงมาหน่อย บางเรื่องมันเสียหายประเทศ รุนแรงเกินไป ก็หยุดซะบ้างเมื่อตำรวจเขาจับแล้วให้กระบวนการ ถึงเวลาพิจารณาคดีท่านก็ไปเสนอข่าวอีกทีได้ไหมล่ะ ถ้าท่านมุ่งเน้นแต่ขายหนังสืออย่างเดียวมันก็เป็นแบบนี้ ต่างชาติเขาจะกลับมาหาเราไหมล่ะ มาเที่ยวกับเราไหม ความรุนแรงก็เกิดขึ้น คดีนู้นคดีนี้เยอะไปหมด แต่เรื่องคดีมันอยู่หน้า 3 หน้า 4 เรื่องหน้า 1 ตัวใหญ่เป้งทุกวัน ทวนแล้วทวนอีกจนกระทั่งแหมมันแทบจะเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยเลยนะ ไอ้คนอ่านข่าวอะไรเหล่านี้ คนเขียนข่าว หรือไปอยู่ในกระบวนการเขาไม่รู้ อย่าไปซัดมากนัก คนเป็นเหยื่อเป็นอะไรเขาก็อับอายบ้าง เสียความเป็นส่วนตัว ละเมิดสิทธิมนุษยชนเขานะครับ ขอให้พยายามแก้ไขหน่อยนะครับ
เรื่องที่ 8 ก็คือตัวอย่างที่จะมีการนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคตได้ของรัฐบาล และ คสช.ก็คือ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมทางรางเพื่อจะเชื่อมโยงรถไฟ รถไฟฟ้า รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า รถรางไฟฟ้าล้อยางนะครับกำลังคิดต่อว่าจะทำยังไงในพื้นที่ปริมณฑลที่มันการจราจรไม่ติดขัดมากนัก ไม่ต้องทำราง แล้วใช้สายไฟข้างบนขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าข้างบนเหมือนต่างประเทศเขาใช้ ทำยังไงจะเชื่อมต่อกัน ตรงไหนควรจะใช้อย่างไร แม้กระทั่งการขนส่งในเมือง ในเมืองใหญ่ หรือในเมืองท่องเที่ยวอะไรต่างๆ เขากำลังคิดอยู่ทั้งหมด แต่ถ้าเราไปทำอะไรมากๆ เข้าในพื้นที่ที่มันแออัดอยู่แล้วมันก็ลำบากนะ
เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า มันต้องมีการจัดระเบียบใหม่ การวางผังเมือง การขยายเมืองวงรอบออกไป ไม่ใช่แออัดอยู่ข้างในมันไม่ได้แล้ว ต้องสร้างสังคมเมืองใหม่ขึ้นมานะครับ อันนี้คือปฏิรูประยะยาวด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเพิ่มศักยภาพระบบขนส่งมวลชนเดิมให้ทันสมัย ลดปัญหาการจราจร ลดมลพิษการใช้รถเต่ามากๆ มันก็ไม่ดี ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มันก็ขึ้นไปบนอากาศมากมาย เราต้องรักษาโลกไม่ให้ร้อนไปมากกว่า 2% เราก็ลงนามสัญญากับเขาไปแล้วด้วย ทุกประเทศในโลกนี้ เราต้องเชื่อมกรุงเทพฯ หัวเมือง ตัวเมือง ชานเมือง ที่จอดรถ อะไรก็แล้วแต่ให้มันตรงกับความต้องการ ทุกคนก็ขับรถกันหมด คนเดียวก็ขับ สองคนก็ขับ สามคนก็ขับ ทุกคนมีรถทุกบ้าน แล้วก็สร้างมลภาวะขึ้นไป แต่ถามว่า ไปขึ้นรถไฟฟ้า ขึ้นไม่ได้ เพราะมันไม่ต่อกัน มันไปถึงก็จอดรถ ไม่มีที่จอดรถก็ห่วงรถ สู้ขับรถไปเลยดีกว่า มันก็ติดกันอยู่แบบนี้ จะกี่รัฐบาลแก้ไม่ได้หมด มันต้องแก้ปัญหาเรื่องที่จอดรถอีกด้วย วันนี้ผมให้นโยบายไปทำที่จอดรถใต้ดินในพื้นที่ที่มันแออัดมากๆ มันจะได้ลดการใช้รถในพื้นที่ที่มันแออัดขับขัน เช่น ใกล้ๆสถานที่ท่องเที่ยว ใกล้สถานที่ที่เกี่ยวกับการค้า สิ่งเหล่านี้ทั้งรถทั้งคน มันลำบาก อันตรายด้วย ถ้าเราทำที่จอดรถใต้ดินได้ก็จะดีนะ หรือเป็นที่จอดรถที่มีหลายชั้นยกขึ้นลง เหมือนต่างประเทศ ไปดูแล้วกัน ทำได้ไม่ได้ ก็อยากให้มีการร่วมทุน ของภาคเอกชนบ้างก็ดี จะได้ลดภาระของรัฐบาลลงได้บ้าง ผมขอเชิญชวน บริษัทห้างร้าน หรือธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยกันลงทุนได้ไหม เรื่องที่จอดรถใต้ดิน ก็หารือกับทางกระทรวงการคลังในเรื่องของที่ดินต่างๆที่มันจะใช้ได้ หรือเป็นที่ธุรกิจอยู่แล้ว ก็เพียงแต่ทำข้างใต้ลงไป ก็ตัวเลขคร่าวๆ ผมจำได้ กรุงเทพฯเมื่อหลายปีมาแล้ว ผมทราบว่า 1 คันประมาณ 2 - 3 ล้าน ถ้าพูดถึง 200 คันก็ประมาณ 600-700 ล้าน มันคุ้มค่าป่าวไม่รู้ วันนี้เท่าไหร่ไม่ทราบเหมือนกัน เดี๋ยวไปถามพวกก่อสร้างก่อน
ฉะนั้นโครงการรถไฟฟ้า 10 เส้นทางใน กทม.นั้น สายสีม่วง บางใหญ่-เตาปูน สร้างเสร็จแล้วนะ จะเดินรถเต็มรูปแบบพฤษภาคม 59 ผมเคยนั่งมาแล้ว วันทดลอง ก็ดีเหมือนกัน สบายดี แล้วจะเปิดบริการสิงหา 59 เฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ด้วย สายที่ 2 สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ก่อสร้างแล้วประมาณ 70% มีทั้งแบบใต้ดินและยกระดับ มีอุโมงค์ ลอดแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของไทย จะเปิดให้บริการเมษายน 2562 ผมไปดูแล้ว การเจาะอุโมงค์ มีความทันสมัยมาก
เรื่องที่ 3 สายสีเขียวตอนใต้ ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ก่อสร้างแล้ว 70% จะเปิดให้บริการ ก.พ.61 และ 4 ส่วนต่อขยายสายสีเขียว ตอนเหนือ ช่วงหมอชิต-คูคต จะเปิดให้บริการ ก.พ.63 ต่อไปสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต ก่อสร้างคืบหน้ากว่า 50% จะเปิดให้บริการ ก.ย.63 ต่อไปสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท มักกะสัน-หัวหมาก และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและการพิจารณาของสภาพัฒน์
สายสีส้ม ตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี ครม.มีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อปลายปี 58 อยู่ระหว่างการจัดทำราคากลาง จะเริ่มประกวดราคา มกรา 59 เริ่มก่อสร้าง มีนา 60 ในการประกวดราคา มีแผนจะเปิดให้บริการปลายปี 63 สำหรับสายสีส้มนี้ จะเป็นโครงข่ายเส้นแรก ที่เชื่อมแนวขวางของกรุงเทพฯ มันจะต้องมีแนวขวางด้วย เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราจะสามารถใช้เส้นนี้เชื่อมโยงได้กับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่นอีก 4 สาย ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน แอร์พอร์ตเรลลิงค์ และสายสีชมพู จะสามารถรองรับผู้โดยสารราว 500,000 คนต่อวันได้
สายที่ 8 สายสีชมพู มีนบุรี-แคราย และสายที่ 9 สีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ทั้ง 8 และ 9 นี้ เป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยว ซึ่งพยายามจะผลักดันให้เปิดบริการได้ในปี 63 เป็นโครงการที่เอกชนร่วมกับรัฐ กำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการพีพีพี เป็นการร่วมทุน
และสายที่ 10 ส่วนต่อขยายสายสีม่วงลงทางใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่สำคัญ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการอีไอเอ และเกาะรัตนโกสินทร์
ส่วนการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ ขนาด 1 เมตร โดยทางเดี่ยวที่มีอยู่เดิม 4,000 กว่า กิโลเมตรนะครับ ที่วิ่งสวนกันไม่ได้นี่ ต้องทำเสริมเป็นทางคู่นะครับ วิ่งสวนคนละเส้นทาง
ในระยะแรก ระยะทาง 905 กิโลเมตร เฉพาะในเส้นทางที่สำคัญในเชิงเศรษฐกิจนะครับ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ รองรับการขนส่งสินค้า ขนาดหนัก และเชิงสังคม บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชั้นประหยัด เพื่อสะดวกในการขนส่งคนระหว่างเมือง จอดทุกสถานี และมีความปลอดภัยขึ้นนะครับ โดยเฉพาะจุดตัดต่างๆ ที่สำคัญสามารถย่นเวลาการเดินทาง โดยไม่ต้องรอสับหลีกราง เพราะสวนกันได้ คนละเส้นนะ
ทั้งนี้มี 2 เส้นทาง ที่เริ่มก่อสร้างในเดือน ธันวา 58 ถึงต้นปี 59 ทำไปแล้วนะ ได้แก่ ช่วงฉะเชิงเทราคลอง 19-แก่งคอย น่าจะเสร็จได้ในปี 61 นะครับ แล้วก็ช่วงชุมทางถนนจิระ ขอนแก่น แล้วเสร็จปี 62 กับอีก 4 เส้นทาง ที่อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงาน EIA นะครับ
ช่วง ช่วงประจวบคิรีขันธ์-ชุมพร , มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ , ช่วงนครปฐม-หัวหิน , ลพบุรี-ปากน้ำโพ จากนั้นก็จะนำเสนอ ครม. นะครับ เมื่อผ่านการทำประชาพิจารณ์แล้ว ให้ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการต่อไปนะครับ
สำหรับเดิมนี่เรามีเส้นทาง Standard Gage อยู่ก็คือ 1 เมตรทุกวันนี้ใช้ 1 เมตรอยู่ รถไฟขนาด 1.435 เมตร นี่เป็นรถไฟอนาคตนะครับ เพื่อจะเตรียมการสู่ การใช้รถไฟความเร็วสูง
อย่างที่กราบเรียนไปแล้วว่าวันนี้เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น การใช้บริการ ขีดความสามารถของผู้ใช้บริการโดยสารอะไรต่างๆ ยังไม่พร้อม เราก็เตรียมทำไว้ก่อน ทำรางให้สามารถเป็นรถไฟความเร็วสูงได้ในวันหน้า แต่วันนี้เอารถไฟความเร็วปานกลางมาใช้ก่อน นี่คือความแตกต่าง ทุกคนไม่เข้าใจหรอก หลายอย่างมีการปรับเปลี่ยนนะครับ ในเรื่องของราคา ในเรื่องของสถานี ในเรื่องของความยาวของรถไฟแบบนี้ ทางรถไฟเหล่านี้ มันต่างกันหมด ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบ ของเก่าเท่านี้ ของใหม่ทำไมแพงกว่า อะไรทำนองนี้ ไปดูรายละเอียดเขาพูดหลายทีแล้ว ผมขี้เกียจชี้แจงแล้ว มองกันแต่ว่าทุจริต เอื้อประโยชน์ ทำไม่ไม่มองว่า เราเข้ามาทำอะไร เจตนาคืออะไร จะดีไม่ดีก็แนะนำมา ผมก็พร้อมจะตรวจสอบ ผมก็จะไล่กระทรวงคมนาคมทั้งหมด เพียงแต่ขอให้มีหลักการอย่าไปพูดตามสื่อ มันเสียหาย เสียความมั่นคงของประเทศด้วย เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะไทย ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม เพียงหนึ่งประเทศ ใหญ่เล็ก เหมือนกัน ต้องเท่าเทียม ผมไม่ยอมใครอยู่แล้วล่ะ
เพราะฉะนั้นในความร่วมมือไทย-จีนนั้น ในช่วงกรุงเทฯ-แก่งคอย จะใช้ขนผู้โดยสารอย่างเดียว เพราะว่าอันนี้มีความจำเป็น ส่วนช่วงหนองคาย-นครราชสีมา , นครราชสีมา-แก่งคอย , แก่งคอย-มาบตาพุด บริเวณท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม จะใช้ทั้งคนและส่งทั้งสินค้า เดิมเป็นการพัฒนาทั้งหมดตลอดเส้น วันนี้ไม่ได้แล้ว ดูแล้ว เพราะว่าความพร้อม บางเส้นทางยังไม่สมบูรณ์เลย เพราะว่าคนมันบุกรุกเยอะ ต้องขยายเส้นทาง ต้องเวนคืน ต้องอะไรอีกเยอะแยะไปหมด ท่านไม่เข้าใจหรอกว่าเราทำอะไรไปบ้าง ทำไมมันช้า ที่ผ่านมาก่อนๆ หน้านี้ ก็จะทำโครงการ เสร็จแล้วยกไปเลย ใครทำก็ทำไป ทุกอย่างไปทำเองหมด มันทำได้ไหมเล่า วันนี้ขนาดทำเองทุกอย่าง คิดอย่างนี้ยังไปไม่ค่อยจะได้เลย ความขัดแย้งก็สูง เข้าใจหน่อยเจตนาของเรา
วันนี้ 1.435 นี่มันเพื่ออนาคต วันหน้ามันต้องไป 1.435 แน่นอน เพราะมันกว้าง บรรทุกน้ำหนักได้มากกว่า แล้วก็เชื่อมโยงโน่น ไปไกลๆ โน่น ไม่ใช่วิ่งแค่นี้ 1.435 วิ่งแค่รอบบ้าน ไม่ใช่เลย เขามีเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก ตะวันออกโน่น ไปถึงยุโรปโน่น เราไม่เริ่มวันนี้ จะไปตรงไหนล่ะ ถ้าเริ่มวันนี้เราไม่มีสตางค์ ก็เริ่มทำเฉพาะรางไปก่อน แล้วเอารถความเร็วปานกลางมาขึ้น อย่างน้อยมันก็เร็วกว่าความเร็วเดิม รถเก่าของเราวิ่งเช้าถึงเย็นถึงอยู่นั่นน่ะ ก็ต้องมีการลงทุนตรงนี้ไง ไม่ใช่เราจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ใครจะขาย รถไฟไม่ได้วิ่งทางเดียว วิ่งสองทาง มันวิ่งไปแล้วก็วิ่งกลับ สินค้าก็ส่งได้ทั้งสองทางนั่นล่ะ สำคัญคือเรามีสินค้าส่งสู้เขาได้หรือเปล่า มีการพัฒนาระบบเศรษฐกิจการค้าการลงทุนหรือเปล่า พัฒนานวัตกรรมหรือเปล่า ถ้าไม่ทำยังไงก็เสียเปรียบทั้งชาติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีรถไฟหรือไม่มีรถไฟ
เรื่องที่ 2 โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เรียกว่าแบบชินคันเซน ระยะทาง 672 กิโลเมตร อันนี้กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เฉพาะการขนส่งผู้โดยสาร ยังทำอะไรไม่ได้เลย ศึกษาความเป็นไปได้ก่อน ก็มีความร่วมมือระหว่างกัน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไทยและญี่ปุ่น และมีความปลอดภัย ในขณะนี้ปลอดภัยที่สุดในโลกนี่ ของญี่ปุ่นประเทศ หนึ่งในหลายๆ ประเทศ คาดว่าจะศึกษาเสร็จในเดือนมิถุนายน 59 แล้วก็ดำเนินการต่อไป มีสตางค์หรือเปล่า ไม่มี ยังไง ประชาชนจะผ่าน EIA HEIA หรือเปล่า มันขึ้นทางเหนือ ถ้าอยากได้ก็ต้องลงทุน แล้วก็ทำให้เหมาะสม ขั้นที่ 1 จะเอายังไง แค่ไหน เส้นไหนก่อน เพื่อเป็นการทดลอง เป็นการให้ประชาชนเข้าใจก่อน บางทีลงทุนมากๆ ก็มีปัญหาอีก
งานในส่วนของที่ 3 ก็คือโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง อันนี้เราก็ไปคิดถึงเรื่องการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน ร่วมกับรัฐ หรือ พีพีพี ฟาสต์แทร็ก จำนวน 2 โครงการ 2 เส้นทาง ก็คือกรุงเทพฯ-หัวหิน 211 กิโลเมตร กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง 193 กิโลเมตร อันนี้จะเป็นการขนส่งผู้โดยสารเช่นกัน เดี๋ยวก็ต้องไปดูว่าได้/ไม่ได้ยังไง แต่เป็นการวางแผนไว้อย่างนี้ ก็เดินหน้าไปก่อน ถ้ามันไม่ได้ค่อยมาว่ายังไงก็ว่ากันมา เราสามารถจะรับนักท่องเที่ยว สามารถไป-กลับในวันเดียวได้ ไม่เสียเวลาการเดินทาง เราต้องคิดถึงว่า วันนี้ และวันหน้า ถ้าเราสามารถขจัดความแออัดในเมืองออกไปได้ ในกรุงเทพฯ ออกไปได้ โดยคนในกรุงเทพฯ สามารถไปทำงานที่หัวหินได้ ไปเร็วกลับเร็ว ไปเช้ากลับเย็นได้ หรือไปเชียงใหม่ หรือยังไง มันก็จะทำให้การเจริญเติบโตไปข้างนอกได้มากขึ้น สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างอะไร มันจะได้ไม่ต้องมาแย่งกันอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนี้ไง นั่นล่ะคือเหตุผลของการสร้างความเชื่อมโยง ในเรื่องของการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน มันต้องมีทั้งคน ทั้งสินค้า ทั้งเร็ว ทั้งช้า บางคนก็ต้องไปเร็ว บางคนก็ไปช้า บางคนก็ถึงช้า สินค้าก็ช้าหน่อย มันต้องวางแผนเหล่านี้ วางไว้ 20 ปีข้างหน้า วางแบบนี้
เรื่องต่อไปก็คือ โครงการพัฒนารถไฟฟ้า รถไฟฟ้านี่คือรถที่ใช้แบตเตอรี ต้องเติมไฟอะไรต่างๆ มันระยะแรกเท่านั้นเอง อย่าไปเขียนกันเรื่อยเปื่อย ว่ารัฐบาลจะยกเลิกการสนับสนุนอีโคคาร์ ยกเลิกได้ยังไง เราเป็นศูนย์กลางอยู่ อีโคคาร์ 1..2..3..4..5.. วันนี้ จะไปเลิกได้ยังไง วันนี้โลกยังใช้อยู่ วันนี้ส่งออกมันก็ดีขึ้น นี่รถไฟฟ้าเพื่ออนาคต เรายังทำไม่ได้ อนาคตคืออนาคตไง แต่วันนี้เราจะคิดได้ไหมล่ะ ถ้าวันนี้เราซื้อมาทดลองใช้ก่อน แล้วมาดูซิว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญก็คือ คืออะไร สามารถสร้างมูลค่าของชิ้นส่วนประกอบได้ ให้กับสถานประกอบการของเราในประเทศ เอสเอ็มอีทั้งหมด มันก็เป็นชิ้นส่วนอะไหล่ของรถไฟฟ้าเหล่านี้ ในอนาคตนะ วันนี้มันยังทำไม่ได้หรอก อย่างมากก็ได้ตัวถัง แต่สิ่งสำคัญที่สุด ผมต้องเตรียมการวันนี้คือการพัฒนาเรื่องแบตเตอรี ลิเทียม ซึ่งมันต้องใช้ในรถไฟฟ้า วันนี้เรายังไม่พร้อม เราผลิตเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราใช้วันนี้มันก็แพง วันนี้รถไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า รถเมล์ มันแพงกว่ารถแก๊ส รถน้ำมัน เยอะแยะ หลายเท่า มันแพงเพราะอะไร เพราะแบตเตอรี ตัวรถไม่แพงหรอก มอเตอร์ ก็เรายังทำไม่ได้ทั้งมอเตอร์ ทั้งไฟฟ้า แล้วมันจะไปวันนี้ได้ยังไง ก็ต้องขอรับการสนับสนุน หรือลงทุนร่วม หรือจากประเทศ มิตรประเทศ พัฒนาต่อไปในอนาคต อย่าไปตกใจ เดี๋ยวหาว่าผมไม่ส่งเสริมการทำรถยนต์ในประเทศอีก เนี่ยชอบไปบิดเบือนผม
เรื่องรถ ยานยนต์ไฟฟ้า มันก็อาจจะต้องให้คนใช้ได้มากขึ้น ในระยะทางใกล้ๆ จดทะเบียนให้ได้ ก็กำลังทำอยู่ บางคนบอกว่ามันจดทะเบียนไม่ได้แล้วจะใช้ได้ยังไง นี่ล่ะ เราแก้ปัญหาไม่ครบไง ให้ใช้นี่ ใช้โน่น ใช้แก๊สโซฮอล์ ใช้อะไร มันไม่ครบ มันก็เกิดปัญหาหมด ผลิตออกมาก็ขายไม่ออก คนไม่ใช้ ใช้แก๊สก็ไม่มีปั๊มแก๊ส มันคิดไม่จบ ดูหนังไม่จบเรื่องเสียที เพราะฉะนั้นเราจะต้องส่งเสริมให้ประเทศไทยมีศักยภาพ ให้มีความเชื่อมั่นนโยบายภาครัฐ ภาคธุรกิจ ร่วมมือกับต่างประเทศ ไม่ใช่ให้เขามาเอาประโยชน์จากเราไปฝ่ายเดียว หลายเรื่องกำลังผลักดันอยู่ การวิจัยพัฒนาเพื่อจะนำไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ในอนาคต รู้จักคำว่า "อนาคต" ไหม ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ปีนี้ ไม่ใช่ปีหน้า ปีโน้นอะไร ยังไม่ใช่ อนาคต ยาวหน่อย อย่าไปตกใจ
เราต้องใช้แนวทางประชารัฐขับเคลื่อน ตั้งเป้ายกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตให้ได้ จะโดยเร็วยังไงก็ว่ากันไป เพราะวันหน้ามันเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าไม่รู้ แหล่งพลังงานมันเปลี่นไหม แก๊ส น้ำมัน มันจะเป็นยังไง ไฮบริดมันจะใช้ได้หรือเปล่า ในวันหน้า วันนี้มันไฮบริดอยู่แล้ว วันหน้าถ้าพลังงานมันเปลี่ยน ถ้าเราไม่เตรียมการเอาไว้ วันโน้นมันก็เดือดร้อนอีก แต่ไม่ใช่วันนี้นะ วันนี้มันยังไม่เดือดร้อนก็ทดลองศึกษาค้นคว้าวิจัยไปก่อน ให้ราคามันถูกลง จะได้ไม่ต้องไปซื้อต่างประเทศมากนัก ใช้กับรถยนต์ไฮบริดอะไรทำนองนี้ มันก็ใช้อยู่แล้ว รถไฟฟ้าเต็มไปหมด แล้วค่อยว่ากันอีกที พร้อมหรือยังล่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะแก้ปัญหาเรื่องก๊าซเรือนกระจกไม่ได้นะ วันนี้เราต้องลดโลกร้อนลงให้ได้ แล้วก็ประหยัดเชื้อเพลิง ประชาชนก็มีความสุข นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศ เป็นก้าวหนึ่งของการปฏิรูปเหมือนกัน
เรื่องของคำว่าศูนย์กลาง วันนี้มันยังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่หลายประเทศเสนอมาแล้ว ว่าอยากจะมาลงทุน เรื่องรถไฟฟ้าในประเทศไทย ให้เป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง ที่จะเป็น Hub เรื่องการผลิตรถไฟฟ้า ในอนาคต แล้วก็วันนี้เป็น Hub เรื่องการผลิตยานยนต์ อยู่แล้วนะครับ เราได้มีการทบทวนเรื่องของการใช้ รถเมล์ของ ขสมก. อยู่นะครับ เดิมจะมีการจัดซื้อรถทั้งหมด จากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 3,183 คัน ซื้อไม่ได้ซักที วันนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็นการจัดหารถโดยสารไฟฟ้า 500 คัน อาจจะต้องเช่ามาก่อน 200 คัน คาดว่าจะได้รับรถในปี 60 นี้ เพื่อจะทดลองใช้ว่าเป็นยังไง ถ้ามันดี เราจะได้ไปผลิต ซื้อ หรือซื้อมาแล้วให้เราประกอบเอง ใช้ชิ้นส่วนในประเทศต้องไปอย่างนั้นนะ ไม่งั้นมันก็มี ไม่มีทางเลือกไง ใช้น้ำมัน ใช้แก๊ส มาตลอด แล้วก็แก้อะไรไม่ได้ทั้งระบบ ตอนนี้กำลังแก้นะครับ
เรื่องการจราจรแออัด ลดมลพิษ ที่จอดรถ ต้องทำเหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในโลกนี้ เขามีรถรางไฟฟ้าเข้ามาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสริมระบบขนส่งมวลชนเขตเมือง ในเมืองคงลำบากแล้วล่ะ มันแน่น สมัยก่อนเราเคยมีรถรางยังไง วันนี้มีแต่รางไม่มีรถ วันนี้ก็ไปอยู่ข้างนอกแล้วกัน ไปเชื่อมโยงข้างนอก ไม่ต้องมีรางใช้ล้อยางแล้วกัน ไปคิดเอา กำลังคิดอยู่ เรียกว่า Light Rail นะครับเหมือน นิวยอร์ก โตเกียว ลอนดอน ปารีส นะครับ เรียกว่า City Tram เหมือน เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ เท็กซัส หรือ Mono Rail เหมือน ซิดนีย์ ลาสเวกัส หลายคนเคยไปมาแล้วนะ ผมก็ไปบางประเทศเท่านั้นแหละ แต่ผมก็เห็นมา ผมถึงมาสั่งได้ ก็ไปคิดเอา ว่าจะทำได้ไหม คิดต่อไปแล้วกันนะครับ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็เพื่อการบริการประชาชน คือการใช้บัตรใบเดียว ระบบตั๋วร่วมนะครับกับทุกบริการขนส่งมวลชน กำลังดำเนินการอยู่นะครับ และอะไรต่าง ๆ ก็ตามทีเป็นเรื่องของสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย จะดูว่าจะทำได้ยังไง ลงทะเบียน ไม่ลงทะเบียน จะทำยังไง กำลังคิดกันอยู่ คณะกรรมการนะครับ ไม่ใช่สั่งแล้ว เลิกแล้ว อะไรทำนองนี้ เป็นเกิดขึ้นแล้ว บางอย่างเกิดไม่ได้ มันต้องพิจารณากันถ่องแท้ โวยวายกันทุกอย่างไป เพราะมีคนไม่เข้าใจแล้วก็เริ่มก่อนทุกที โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ก็ไม่รู้ ก็พูด จินตนาการเอาเองตลอด เรื่องการออกแบบสถานี สิ่งที่อำนวยความสะดวกนั้นมันน่าจะต้องเป็นอารยสถาปัตย์นะครับ ที่รองรับการเดินทางของผู้พิการ ผู้ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือในการดำเนินชีวิต ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น ตำรวจ ทหารผ่านศึก และเด็กเล็กด้วยนะครับ
สำหรับโครงการสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อจะช่วยในการถ่ายเทการจราจรนะครับ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ และมีการเปิดช่องทางสัญจรกรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่จำนวน 31 เส้นทาง ได้แก่ พัทยา-มาบตาพุด สร้างแล้วนะครับ เสร็จปี 62 สายบางปะอิน-นครราชสีมา จะลงนามเมษาฯ 59 เสร็จปี 63 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ลงนามก่อสร้างกรกฎาฯ 59 เสร็จปี 63 เช่นกันนะครับ
เรื่องสุดท้ายเรื่องร่างรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นการเมืองตลอดระยะเวลาเป็นเดือนมาแล้ว โดยเฉพาะ 2-3 อาทิตย์ที่แล้วที่ผ่านมา จนวุ่นวายไปหมดก็ให้เขาทำงานไป ท่านก็ไปศึกษา ท่านก็ไปดูซิว่า จะลงมติกันยังไง แต่ต้องนึกถึงปัญหาประเทศนะครับ ไอ้ฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง อีกฝ่ายหนึ่งอยากปฏิรูป อีกฝ่ายหนึ่งไม่สนใจประชาธิปไตยอย่างเดียวมันไปไม่ได้หมด ที่พูดกันทั้งหมดตั้งแต่ต้นถึงเวลานี้ ถึงเหนื่อยพูด ไปไม่ได้ซักอัน ถ้าเรามองกันทุกวันนี้ขัดแย้งมันทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นไปดูซิว่า อะไรสากล อะไรที่ต้องเปลี่ยนผ่าน มีกลไกอะไรไหม ผมพูดหลายครั้งแล้วนะไปคิดกันให้ได้แล้วกันนะครับ ตรวจสอบได้ยังไง ป้องกันปราบปรามยังไง ขัดแย้งกันทำยังไง ติดล็อกแล้วจะทำยังไง ทำงบประมาณไม่ได้จะทำยังไง รัฐบาลไม่มีจะทำยังไง นี่เขากำลังคิดอยู่ทั้งสิ้น กมธ.เขาถึงออกรัฐธรรมนูญมาแบบนั้น แล้วไปตีเทียบกับอันนู้นอันนี้มันเหมือนกันไหมล่ะ สถานการณ์มันเหมือนกันไหม แต่เราไม่ได้ไปทาบทับอำนาจทางการบริหาร เพียงแต่ทำให้มันเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีกเท่านั้นเอง วันนี้ก็ยังจะกลับไปที่เก่าอยู่นั่นแหละ
เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกแล้วครับ การใช้ความรุนแรง มีอาวุธสงคราม เจ้าหน้าที่ทำงานไม่ได้ จะทำยังไง
มันเกิดมาแล้วทั้งหมด อย่าบอกว่ามันไม่เคยเกิด แล้วจะไม่เกิดอีกนะ ถ้าประชาชนคิดเองยังไม่ได้ ไม่ทำความเข้าใจ แล้วก็ให้บรรดานักเคลื่อนไหวทั้งหมด หรือนักการเมืองที่ไม่ดีมาชี้นำประเทศ มันไปไม่ได้ ไม่หลุดพ้นล่ะครับกับดักประชาธิปไตย กับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง กับดักความล้มเหลว ไม่มีพ้น ไม่มีใครแก้ไขได้นะครับ รัฐบาล คสช. แม่น้ำ 5 สายก็แก้ไม่ได้ ถ้าไม่ทำกันวันนี้ช่วยกันล่ะก็ ประชาชน 70ล้าน ต้องช่วยกัน อะไรร่วม อะไรต่าง ว่าไป ประเทศมาก่อน
ปัญหาต่างๆ ในประเทศ นั้น สำคัญที่สุดคือการขาดแคลนน้ำ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ เกษตรที่ไม่ใช้เทคโนโลยี ไม่มีเงินทุน ค่าใช้จ่ายในการต้นทุนสูง เราต้องมีมาตรการ มารองรับนะครับ ทำยังไง ส่วนนี้ประทังความเดือดร้อน ส่วนนี้สร้างความเข้มแข็ง ส่วนนี้สร้างวงจรการผลิต ส่วนนี้ไปสร้างห่วงโซ่ มันต้องมีเงินไปทุกส่วน ไปทุกกิจกรรม ผมถามว่าใช้เงินเยอะไหมล่ะ เราหาเงินเพิ่มได้หรือยัง ก็ต้องไปดูระบบเศรษฐกิจ ว่าเราต้องปรับปรุงเศรษฐกิจ นำเข้าส่งออกยังไง ให้ได้ภาษียังไง เหล่านี้ อย่าไปคิดว่าไม่ใช่เรื่องของใคร หรือของรัฐบาลอย่างเดียวนะครับ ต้องช่วยเหลือแบ่งปันกัน อย่าคิดว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างกลุ่มต่างทำ แล้วก็ไม่เกื้อกูลกัน ไอ้นี่กำไรมาก กำไรน้อยก็ให้ล้มละลายไป ไม่ใช่ ต้องทำยังไง ใหญ่ กลาง เล็กถึงจะเชื่อมโยงสร้าง สร้างขึ้นมา เล็กมากลาง กลางก็มาใหญ่ ใหญ่ก็ไปใหญ่มากโน่น ถึงจะไปอย่างนี้ ถึงจะลงมาสู่ประชาชนไง ทุกนต้องเผื่อแผ่นนะครับ "จิตสาธารณะ" ใช้หลักเกณฑ์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ได้นะครับดำรงชีวิตให้ได้และมีภูมิคุ้มกันตนเอง และกลไกบ้าน - วัด - โรงเรียน ตามแนวทางพระราชดำริ ทำให้สังคม ปลอดภัยนะครับ มั่นคง ปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน
สิ่งสำคัญ คือ การเคารพกฎหมาย จิตสำนึก อุดมการณ์ ประเทศชาติมาก่อน เคารพกระบวนการยุติธรรม รู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้เสรีภาพตามกฎหมาย อย่าไปรบกวนคนอื่นนะ เป็นพื้นฐานของ "ประชาธิปไตย" ที่ถูกต้อง อย่ามองเลือกตั้งอย่างเดียว ถือเสียงส่วนใหญ่ ไม่สนใจส่วนน้อย เรียกร้องสิทธิอย่างเดียว ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน ไม่ช่วยตัวเอง ไม่เข้มแข็ง หรือเป็นการทำอะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย หรือแสดงความเห็นต่าง ความไม่ร่วมมือ ตามสื่อ ตามโซเชียล - มีเดีย โดยที่ไม่มีข้อมูล ข้อเท็จจริงนะครับ ผมคิดว่าหลายๆ อันผิดกฎหมายนะ ผมเข้าใจว่ามันผิดกฎหมายนะ กำลังดูอยู่นะ การพูดจาที่ไม่มีสาระ ไม่มีหลักฐานนี่ พูดเรื่อยเปื่อยนะ อาจจะผิดกฎหมายด้วย ไม่ได้ขู่ เดี๋ยวหาว่าผมขู่อีก ผมไม่ชอบ คำ 2 คำนี่ ขู่ หรืออะไร จ้อ โม้ อะไรทำนองนี้ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็นทหาร ผู้บัญชาการทหารบกเก่า ผมเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป ไม่ใช่หมู หมา กา ไก่ เพราะนั้นจำเอาไว้ด้วย
วันที่ 14-18 ผมมีภารกิจเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอด อาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ณ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นะครับ สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ นั้น ผลการปฏิบัติงาน ผลการประชุม ผมจะนำมาเล่าให้ฟังต่อไปนะครับ ไม่อยากให้มีการขัดแย้งนะครับ ในต่างประเทศด้วย ขอบคุณบรรดาพ่อแม่พี่น้อง ที่จะไปรับผมที่โน่น ให้กำลังใจผม ขอบคุณนะครับ ขอให้อยู่ในความสงบ ผมทำเพื่อทุกคน เพื่อประเทศชาติ ใครไม่ทำเขาก็ต้องมีผลกรรมของเขาเอง ทำไม่ดี ก็ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะแยะไป
ขอให้ทุกคนมีความสุขนะครับ ที่ผ่านมาก็วันตรุษจีน วันนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะวันแห่งความรัก นะครับ ผมเป็นห่วงนะ บรรดาวัยรุ่น คู่รักต่าง ๆ ระมัดระวังตัวเอง ไปเที่ยวอะไรต่าง ๆ ผู้หญิงต้องระวังตัว มีคุณค่า ผู้ชายก็ให้เกียรติผู้หญิงเขาบ้าง อย่าเอารัดเอาเปรียบนะครับ แล้วทำให้ประเพณีไทยเสียหาย เราไม่ใช่ต่างประเทศที่เขาเลยไปแล้วนะ วัฒนธรรมเราดีงาม สวยงาม ต่างชาติเขาก็เป็นแบบของเขามา ไม่ใช่เขาดีหรือไม่ดี ผมไม่ว่าเขา แต่ของเราเคยดีอยู่แล้ว อย่าทำ อย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกันนะ ขอขอบคุณนะครับ ขอให้ รู้ รัก สามัคคี สำเร็จ ปลอดภัย มีความสุข สวัสดีครับ