รมว.ยุติธรรม ระบุดีเอสไอตรวจสอบรถหรู “สมเด็จช่วง” เป็นการทำหน้าที่ เชื่อเป็นสิ่งที่ดีสังคมจะได้ไม่แคลงใจ เพื่อความสง่างาม ยันไม่มีการล่วงลูก คาดสอบเสร็จใน 1 เดือน ส่วนการสอบอุทยานราชภักดิ์คืบหน้า เร่งทำให้จบ เผยศาลฯ ให้ข้อมูลแต่ละปีมีผู้ต้องหาหนีประกันนับหมื่น เตรียมเข้าช่วยแก้ปัญหา กรณี “ธเนตร” หนีไปต่างประเทศ จนท.กำลังติดตามตัวอยู่
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจสอบรถยนต์หรูภายในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ว่าไม่ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เพราะให้เสรีข้าราชการในการทำงานเหมือนคดีอื่นๆ จึงไม่ได้ลงในรายละเอียด ฟังจากข่าวเหมือนพวกท่าน ก็ต้องมีการตรวจสอบการเข้าและออกซึ่งมีอยู่ 2-3 กรมที่ต้องเข้ามาตรวจสอบ ทราบว่าจะใช้เวลา 1 เดือน จึงขอให้รอผลตามเวลาที่ระบุ ซึ่งไม่ได้มีการเร่งรัดการดำเนินการ เพราะเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน แต่ถือเป็นเรื่องดีหากสังคมเกิดความสงสัยอะไร จะสามารถตอบได้ หากมีความชัดเจนด้านใดด้านหนึ่งเรื่องก็จะจบ อีกทั้งเป็นเรื่องที่สำคัญกับประเทศชาติ
“ต้องเข้าใจนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าการทำงานของกระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอ เป็นส่วนหนึ่งของความสำคัญ เราก็ต้องทำอย่างรอบคอบและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเรื่องนี้ต้องคิดถึงผลได้ผลเสียของบ้านเมือง ต้องคิดในทุกมุม อย่าคิดแต่ฝ่ายตัวเอง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเข้าไปตรวจสอบภายในวัดถือเป็นการดิสเครดิตสมเด็จช่วงหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ถ้าจะคิดในมุมนั้นก็คิดได้ แต่ถ้ามองอย่างเป็นธรรม เมื่อมีคนอื่นสงสัยคลางแคลงใจก็ควรจะดำเนินการ หากเรื่องถูกต้องก็อย่ากลัว และการทำเรื่องนี้ให้กระจ่างในสังคมยังถือว่าเป็นเครื่องยืนยันตัวเอง ถ้าหากไม่ดำเนินการต่อไปโดยไม่ทำให้เรื่องนี้กระจ่างแล้วมีการพูดกันต่อไปตลอดอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่สมควร แต่หากมีความชัดเจนก็จะเกิดประโยชน์และมีความสง่าอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอและกระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการตามหน้าที่ เพราะเมื่อมีคนมาร้องเรียนก็ต้องดำเนินการ และคิดว่าเหมาะสมในช่วงนี้ เพราะเรื่องนี้เกิดตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งก็ยาวนานมาพอสมควรแล้ว ต้องคิดทุกมุมอย่าคิดเพียงแต่ฝ่ายตัวเอง
พล.อ.ไพบูลย์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ว่า ตอนนี้ก็ตรวจไปและพยายามเร่งให้เสร็จ ก็รู้ว่าประชาชนต้องการรอคำตอบ เรื่องอย่างนี้ควรที่จะละเอียดรอบคอบ เมื่อศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ประกาศแล้วคงจบ ตนต้องทำให้รอบคอบในทุกๆ เรื่อง ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องหยุดการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องนี้ต้องยุติ เพราะไปไหนไม่ได้ แต่ต้องทำให้รอบคอบ ซึ่งที่ผ่านมามีความก้าวหน้าในการตรวจสอบไปมากแล้ว และจะพยายามจะจบให้ไวที่สุด
พล.อ.ไพบูลย์กล่าวถึงกรณีนายธเนตร อนันตวงษ์ หรือตูน อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร คดีฐานกระทำความผิดตามมาตรา 116 ในกรณีเผยแพร่ผังทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ที่ขณะนี้ได้หลบหนีออกประเทศว่า เจ้าหน้าที่จะต้องติดตามตัวมาดำเนินการให้ได้ ส่วนภาพรวมที่ผู้ต้องหาหนีประกันในชั้นศาลนั้นมีเป็นจำนวนมาก ศาลยังชี้แจงมาที่กระทรวงยุติธรรมซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้ประสานมาแล้วว่ามีการหนีประกันในชั้นศาลไม่รู้ว่ากี่พันกี่หมื่นคนต่อปี กำลังดูแลกันอยู่ ฝ่ายบริหารกำลังจะช่วยศาลยุติธรรมว่าจะดำเนินการอย่างไร เราในฐานะฝ่ายบริหารดูแลในภาพรวมจะต้องไม่ทิ้งเรื่องนี้ โดย 2-3 วันนี้ตนจะเชิญศาลยุติธรรมและหลายๆ ฝ่ายมาประชุมหารือกันว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร
“เราต้องช่วย อาจต้องใช้งบประมาณ หรือจัดระบบใหม่ ฝ่ายบริหารต้องลงมาช่วยศาลยุติธรรม เพราะผู้ร้ายหรือคนที่ถูกกล่าวหาบางคนอาจจะเป็นภัยต่อสังคม เราต้องช่วยอยู่แล้วในเรื่องนี้”
พล.อ.ไพบูลย์ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับกระแสคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าวันนี้ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ ยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตารายละเอียด รองนายกรัฐมนตรีเคยสอนตนว่าในฐานะเป็นรัฐมนตรียุติธรรมอย่ามองอย่าอ่านกฎหมายแค่ข้อเดียวหรือมาตราเดียว เพราะหลายมาตรามันพันกัน ต้องอ่านให้จบ และวันนี้ยังไม่เห็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับเต็มเลย ต้องรอให้เห็นทั้งหมดแล้วค่อยคุยกันเป็นเรื่องระบบดีกว่า ฟังนิดเดียวแล้วมาพูดมันก็จะเป็นประเด็นหมด
ส่วนกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามตินั้น นายกรัฐมนตรีได้บอกชัดเจนแล้วว่ามีแนวทางแก้ไขไว้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ส่วนตัวไม่ทราบว่าเป็นแนวทางอะไร