แฟนเพจ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ซัดลิ่วล้อ “สมเด็จช่วง” พวกวัวสันหลังหวะเรียกร้องสาวกปกป้องพระขู่ล้อมเจ้าหน้าที่ดีเอสไอลุยสอบรถหรู แถมอ้างรถไม่ได้เป็นสมบัติส่วนตัว เหน็บเพิ่งรู้ว่าที่สังฆราชสอนให้พุทธบริษัทศึกษารถโบราณ ชี้ ผลสืบสวนชัดรถนำเข้ามี 1 คัน เป็นของเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และสำแดงเท็จ ละเมิดโกสิยวรรค พอมีคดีแทนที่จะคืนหลวงกลับปล่อยให้พวกโป้ปดมดเท็จ เข้าข่ายอาบัติปาราชิกข้อ 13 ลักซ่อน ยันมีหลักฐานการโอนชัด
วานนี้ (18 ม.ค.) เว็บไซต์เฟซบุ๊กแฟนเพจ หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ของหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์ข้อความหัวข้อ “พวกวัวสันหลังหวะ แค่ได้ยินเสียงแมลงหวี่แมลงวันก็สะดุ้งสะเทือนจนรนรานกันทั้งคอก” โดยระบุเนื้อหาว่า มีการปล่อยข่าวจากผู้ไม่หวังดีต่อชาติ ว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะบุกจู่โจมตรวจสอบค้นรถหรูในวัดปากน้ำภาษีเจริญ พอข่าวนี้แพร่ออกไป บรรดาพวกลิ่วล้อสมเด็จพระรัชมังคลาจารย์ (ช่วง) และวัดพระธรรมกาย ต่างพากันโวยวายแซแซดกันในโลกออนไลน์ให้วุ่นเรียกร้องให้ช่วยกันออกมาปกป้องสมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำถึงขนาดขู่จะระดมทั้งคนทั้งนักบวชมาปิดล้อมกรอบเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปตรวจสอบในวัดปากน้ำ แถมหน่วยแถกแถแก้ตัวของสมเด็จช่วง ยังเสนอหน้าออกมาอธิบายแก้ตัวสารพัด เช่น แถว่ามีคนนำรถเก่าโบราณ 60 ปีก่อนมาถวายสมเด็จท่าน ท่านก็ให้เอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนที่สนใจมาศึกษาลักษณะรถโบราณ ท่านมิได้เอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่มีการสร้างวาทกรรมโจมตีว่าท่านครอบครองรถหรูไม่เสียภาษี รถหรูอะไร เก่าจนวิ่งออกถนนไม่ได้แล้ว
แฟนเพจ หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุว่า พุทธบริษัทผู้มีปัญญาทั้งหลายอ่านดูแล้วพิจารณาวิพากษ์วิจารณ์กันเอาเอง แต่ที่แน่ ๆ เราเพิ่งจะรู้ว่า ว่าที่สังฆราชเขาสอนให้พุทธบริษัทศึกษารถโบราณด้วย และทีนี้มาดูเรื่องจริง ความจริง และของจริง ที่เป็นวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์กันได้ในศาล เริ่มตั้งแต่ปี 56 - 57 ก่อนที่เวที กปปส. จะเกิดขึ้น ฉันได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับดีเอสไอ โดยมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี มารับเรื่องในคดีเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม นำเข้ารถหนีภาษี โดยมีนักการเมืองของจังหวัดนครปฐมเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ในเวลาต่อมา ดีเอสไอรับเรื่องเอาไว้แล้วทำการสืบสวนสอบสวน จนค้นพบเงื่อนงำอำพรางของคดีนำเข้ารถหรูใหม่และเก่า ซึ่งมีทั้งนักการเมือง ลิ่วล้อนักการเมือง นักธุรกิจชาวมาเลเซีย ข้าราชการ และนายน้ำฝน แห่งวัดไผ่ล้อม มีชื่อเป็นผู้สั่งนำเข้าและสำแดงหลักฐานเท็จเพื่อหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งรถที่นำเข้าผิดกฎหมายทั้งหมดมีจำนวน 6,757 คัน
ตามกระบวนการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอจึงได้รู้ว่า รถหรูราคาแพง 1 ใน 6,757 คันนั้น เป็นชื่อของสมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองเอาไว้เป็นชื่อของตนเอง (อ้าว..ไหนว่าเป็นของวัดไง) ทางดีเอสไอจึงได้ทำการขยายผลสืบสวนที่มาของรถหรูราคาแพง จึงได้พบเงื่อนงำว่า มีการทำนิติกรรมอำพราง สำแดงหลักฐานเป็นเท็จว่า รถเมอร์เซเดสเบนซ์ หมายเลขทะเบียน ขม 99 เลขตัวถัง 186014-0042053 หมายเลขเครื่องยนต์ 1869204500552 3,000 ซีซี ของสมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำ ว่าเป็นอะไหล่รถยนต์เก่า แต่แท้จริงเป็นการนำเข้ามาทั้งคัน
ถือว่าผิดกฎหมายพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 27 ความว่า “ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของ ต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในพระราชอาณาจักรสยามก็ดี หรือส่ง หรือ พาของเช่นว่านี้ออกไปนอกพระราชอาณาจักรก็ดี หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ในการนำของ เช่นว่านี้เข้ามา หรือส่งออกไปก็ดี หรือย้ายถอนไป หรือช่วยเหลือให้ย้ายถอนไปซึ่งของดังกล่าวนั้น จากเรือกำปั่น ท่าเทียบเรือ โรงเก็บสินค้า คลังสินค้า ที่มั่นคง หรือโรงเก็บของโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ดี หรือให้ที่อาศัยเก็บ หรือเก็บ หรือซ่อนของเช่นว่านี้ หรือยอม หรือจัดให้ผู้อื่นทำการเช่นว่านั้น ก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการขนหรือย้ายถอน หรือกระทำอย่างใดแก่ของเช่นว่านั้น ก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษี ศุลกากร หรือในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมายและข้อจำกัดใด ๆ อันเกี่ยวแก่ การนำของเข้า ส่งของออก ขนของขึ้น เก็บของในคลังสินค้า และการส่งมอบของโดยเจตนาจะฉ้อ ค่าภาษีของรัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ก็ดี หรือ หลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ”
และมีความผิดที่ 1 ฐานสำแดงเอกสารเท็จ หลีกเลี่ยงอากร ความผิดที่ 2 ลักลอบนำเข้าสินค้าหนีด่านศุลกากรออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตปลอดอากร คดีนี้มีบุคคลที่เข้าข่ายความผิดคือสมเด็จช่วง และผู้สำแดงการนำเข้าเป็นเท็จ (ซึ่งขอสงวนไว้เพื่อประโยชน์ในคดี) และพนักงานผู้ให้การช่วยเหลือเพื่อให้ได้มาซึ่งการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก
ต่อมา แฟนเพจ หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้อธิบายเพิ่มเติมใน ตอนที่ 2 ว่า ในเวลาต่อมาดีเอสไอเชิญตัวฉันไปให้ปากคำเพิ่มเติมและลงชื่อเป็นผู้ชี้เบาะแสแจ้งความร้องทุกข์แก่สมเด็จช่วง
ด้วยมูลเหตุอันเกิดมาจากแรงจูงใจ 2 ประการ คือ 1. สมเด็จช่วงเป็นผู้มีพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ดังตัวอย่างที่บัญญัติเอาไว้ในโกสิยวรรค สิกขาบทที่ 8 ความว่า
ภิกษุรับเองก็ดี หรือใช้ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีในทองและเงินนั้นเพื่อเก็บไว้เพื่อตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ และสิกขาบทที่ 9 ความว่า ภิกษุทำการซื้อขายรูปิยะ คือ ของที่เขาใช้เป็นทองและเงิน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ สมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำได้กระทำการละเมิดพระบัญญัติทั้งสองข้อนี้อยู่เป็นอาจิณ อีกทั้งยังนำทรัพย์สินที่ซื้อมาใส่ชื่อของตน เช่น รถเบนซ์หรูทะเบียน ขม 99 เจ้าปัญหาคันนี้ เป็นต้น
แม้จะอวดอ้างว่ามิได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สินนั้นเพื่อตน แต่ด้วยสถานภาพของผู้อยู่ในองค์คณะปกครองสูงสุดแห่งสังฆมณฑล จึงสมควรยิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นต้นแบบอย่างเคร่งครัด ตามหลักพระธรรมวินัยและถูกต้องตามสมณวิสัย เป็นผู้สะอาด ฉลาด สว่าง สงบ มิใช่ทำตัวเป็นผู้มักมาก อยากได้ ชอบสะสมอย่างที่เป็นอยู่ อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่ละเมิดพระธรรมวินัยในสิกขาบทต่าง ๆ อยู่เนืองนิตย์ และมีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรง ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ลำเอียง เลือกข้าง มักมาก หลงติดอยู่ในโลกธรรมอันลามก ทั้งที่คดีรถหรูนี้มีการสืบสวนสอบสวนมาเป็นเวลาร่วม 2 ปี จนข่าวคราวเป็นที่ปรากฏ แทนที่สมเด็จช่วง จะรู้ตัวว่ารถที่ครอบครองผิดกฎหมาย ต้องส่งมอบคืนให้แก่หลวง แต่กลับนิ่งเฉยโดยไม่ละอาย ทั้งยังปล่อยให้ลิ่วล้อออกมาโป้ปดมดเท็จ เบี่ยงเบนประเด็นแก้ตัวไปวัน ๆ แต่ไม่ยอมแก้ไข พฤติกรรมเช่นนี้จึงเข้าข่ายละเมิดอาบัติปาราชิกในสิกขาบทที่ 2 ที่ว่าด้วย ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทรัพย์นั้นมีราคาเกิน 5 มาสก (เท่ากับทองคำ 20 เมล็ดข้าวเปลือก) ต้องอาบัติปาราชิก
อธิบายคำว่าปาราชิก เป็นชื่อของอาบัติ ปาราชิก แปลว่า ผู้ที่พ่ายแพ้ หรือผู้ตัดขาดจากสถานะเดิม ผู้หาสังวาสมิได้ หรือหาสังคมอยู่ด้วยมิได้ ใบไม้เมื่อหลุดร่วงหล่นลงสู่พื้น ยิ่งนับวันมีแต่แห้งเหี่ยว ไม่มีโอกาสสดเขียวขึ้นมาได้ฉันใด ภิกษุผู้ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยลักษณะ 13 อย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเจตนา ย่อมไม่สามารถงอกเงยในมรรคผลนิพพานได้ในฉันนั้น ลักษณะของการถือเอาทรัพย์มีอยู่ด้วยกัน 13 ชนิด ได้แก่ 1. ลัก ได้แก่อาการถือเอาทรัพย์ให้เคลื่อนจากฐานที่ตั้ง ด้วยเจตนา 2. ชิงหรือวิ่งราว ได้แก่อาการชิงเอาทรัพย์ที่เขาถืออยู่ 3. ลักต้อน ได้แก่กิริยาไล่ต้อนหรือจูงสัตว์ 4 เท้า สัตว์ 2 เท้า หรือสัตว์ไม่มีเท้า ให้เคลื่อนจากที่อยู่ที่เหยียบยืน 4. แย่ง ได้แก่อาการเข้าแย่งทรัพย์ซึ่งหน้าจากมือเจ้าของทรัพย์หรือแย่งขณะที่เจ้าของทำทรัพย์นั้นตก 5. ลักสับ ได้แก่ การสับของดีให้เป็นของเลว ของมีราคามากให้เป็นของมีราคาน้อย แม้ที่สุดลักสับสลากรายชื่อของทรัพย์ ด้วยเจตนาต้องการทรัพย์นั้น 6. ตู่ ได้แก่กิริยากล่าวตู่เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน 7. ฉ้อโกง ได้แก่กิริยารับของที่มีผู้มาฝากเอาไว้ แล้วฉ้อโกงเอามาเป็นของตน 8. ยักยอก ได้แก่ภิกษุผู้มีหน้าที่รักษาคลัง ทำบัญชีหรือควบคุมทรัพย์ของวัด แล้วยักยอกทรัพย์นั้นมาเป็นของตน (กิริยานี้ตรงกับกรณีของธัมมชโย ที่ยักยอกเงินและที่ดินของวัดมาเป็นชื่อของตน)
9. ตระบัด ได้แก่ กิริยาที่นำของที่ต้องเสียภาษี เมื่อผ่านด่านเก็บภาษีก็ซุกซ่อนของนั้น ไม่ยอมเสียภาษี หรือของมากก็ซ่อนให้เห็นว่าเป็นของน้อย จะได้เสียภาษีน้อย ๆ (ตรงกับพฤติกรรมของนายน้ำฝนแห่งวัดไผ่ล้อมในคดีรถหรู) 10. ปล้น ได้แก่การชักชวนกันทำโจรกรรม ลงมือด้วยตนเองบ้าง หรือมิได้ลงมือด้วยตนเอง แต่ตนมีส่วนร่วม เมื่อได้ทรัพย์นั้นมาสมเจตนา หากทรัพย์นั้นมีราคาเกิน 5 มาสก ต้องอาบัติปาราชิกทั้งกลุ่ม 11. หลอกลวง ได้แก่การหลอกทำของปลอมต่าง ๆ 12. กดขี่หรือกรรโชก ได้แก่การใช้กำลัง ใช้อำนาจ ข่มเหงเอาทรัพย์ของผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ภิกษุเป็นเจ้าหน้าที่มีอำนาจการปกครองอยู่ในมือ แล้วใช้อำนาจนั้นข่มเหงเพื่อให้ได้ทรัพย์มา 13. ลักซ่อน ได้แก่การเห็นทรัพย์ที่เจ้าของเขาทำตกหล่นไว้โดยไม่รู้ตัว ภิกษุนั้นพอเห็นจึงแกล้งเดินไปเอาเท้าเหยียบไว้ ยืนบังไว้ หรือใช้วัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดปกปิดเอาไว้ ด้วยเจตนาจะถือเอามาเป็นของตน ต้องอาบัติเมื่อเจ้าของทรัพย์หาของไม่เจอ และทรัพย์นั้นได้ตกเป็นของภิกษุ (ข้อนี้ตรงกับกรณีสมเด็จวัดปากน้ำมีรถหรูจดประกองหลีกเลี่ยงภาษี ถ้ารู้อยู่ว่ารถหนีภาษีไม่ไปแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ และลักซ่อนรถนั้นไว้ก็ต้องอาบัติปาราชิก)
ทรัพย์ที่ถือเอามาเป็นของตนด้วยกิริยาอาการทั้ง 13 อย่างหรืออย่างหนึ่งอย่างใด ก็เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก ทรัพย์ในปาราชิกสิกขาบทที่ 2 นี้มีอยู่ด้วยกันสองชนิด คือ 1. สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ 2. อสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ภิกษุที่ถือเอาทรัพย์เหล่านี้โดยมิต้องอาบัติต้องประกอบไปด้วยอาการดังนี้คือ 1. เข้าใจผิดคิดว่าทรัพย์นั้นเป็นของตน 2. คิดว่าเป็นของคนกันเอง เคยรู้จักกันมาก่อน คงไม่เป็นไรหรอก 3. ขอยืมนะ 4. ทรัพย์ที่เขาอุทิศให้แก่เปรต 5. ทรัพย์ที่เขาอุทิศให้แก่สัตว์ดิรัจฉาน 6. คิดว่าเป็นของที่เขาทิ้งแล้ว 7. ภิกษุนั้นเป็นบ้า 8. เป็นภิกษุคนแรกของการบัญญัติสิกขาบทนี้
2. พฤติกรรมของสมเด็จช่วงที่เป็นนักสะสม ชื่นชอบนิยมของมีค่า ของเก่า จึงนำมาซึ่งการกระทำผิดกฎหมายศุลกากรมาตรา 27 ที่นำรถผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศและสำแดงเอกสารเท็จ แม้จะอ้างว่าเป็นของลูกศิษย์ถวายให้มาก็ฟังไม่ขึ้น เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ตามหลักฐานพยานที่ปรากฏ สมเด็จช่วงได้มีการจ่ายเงินให้กับนางกาญจนา มากเหมือน เป็นจำนวนเงินล้านกว่าบาท ซึ่งในเวลาต่อมานางกาญจนา มากเหมือน ได้ทำการโอนรถคันนี้ให้เป็นชื่อของสมเด็จช่วงตามปรากฏในเอกสารหลักฐานการโอน (แล้วอย่างนี้พวกลิ่วล้อยังจะมาแถกแถไปว่าเขาถวายมาอีกหรือ) ที่จริงมีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำเข้ารถเก่าหรูคันนี้ และเมื่อนำเข้ามาแล้วก็มีการสำแดงเอกสารเท็จ โดยมีเจ้าหน้าที่ศุลกากรและกรมขนส่งให้ความร่วมมือ ทั้งที่รถคันนี้ใส่ตู้คอนเทนเนอร์นำเข้ามาทั้งคัน แต่มาแจ้งเท็จว่าเป็นอะไหล่รถเก่าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 300 กว่าเปอร์เซ็นต์ แล้วให้คนไปเล่นแร่แปรธาตุจนสามารถนำรถออกมาจากเขตปลอดภาษีของกรมศุลได้ ตามด้วยการจัดหาซื้อทะเบียน ขม 99 ของบริษัทแห่งหนึ่งมาสวมใส่ ซึ่งมีสุภาพสตรีนักธุรกิจคนหนึ่งเป็นผู้เซ็นยินยอมเปลี่ยนชื่อทะเบียนให้เป็นชื่อของสมเด็จช่วง
เอามาบอกกล่าวกันอย่างสุดติ่งกระดิ่งหมาขนาดนี้แล้ว ยังจะมาแถกอย่างไรอีกล่ะเฮีย หรือถ้าอยากรู้ให้ลึกให้ละเอียดว่ามีใครร่วมมือบ้าง ใครตกเป็นจำเลยบ้าง พวกเฮีย ๆ ทั้งหลายก็ลองพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส พิสูจน์ความจริง หากเฮีย ๆ เชื่อมั่นว่าสมเด็จช่วงของเฮียบริสุทธิ์ผุดผ่อง เฮีย ๆ ทั้งหลายก็ลองแจ้งความฟ้องกลับข้อหาแจ้งความเท็จดูบ้างสิเฮียเผื่อเฮียจะได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง
พวกวัวสันหลังหวะ แค่ได้ยินเสียงแมลงหวี่แมลงวันก็สะดุ้งสะเทือนจนรนรานกันทั้งคอก ตอนที่ ๑๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ มีการปล่อยข่าวจ...
Posted by หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) on Sunday, January 17, 2016
พวกวัวสันหลังหวะ แค่ได้ยินเสียงแมลงหวี่แมลงวันก็สะดุ้งสะเทือนจนรนรานกันทั้งคอก ตอนที่ ๒๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ ในเวลาต่อมาดีเอ...
Posted by หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) on Sunday, January 17, 2016