นายกฯ อยากให้ทุกคนในสังคมช่วยหล่อหลอมเด็กให้โตเป็น “พลเมืองดี” เหน็บนักการเมืองที่ไม่ดีสร้างข่าวป่วนสังคมผ่านสื่อ วอนสื่อมวลชนเสนอข้อมูลให้เท่าเทียม เอาฝ่ายรัฐเข้าไปชี้แจงด้วย แล้วให้ประชาชนตัดสินเองจะเชื่อใคร
วันนี้ (8 ม.ค.) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ช่วงหนึ่งว่า ขอฝากข้อคิดผ่านคำขวัญประจำปีนี้ว่า “เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต” เป็นคำขวัญที่ต้องการมอบให้กับเด็กๆ แต่ในทางปฏิบัติแล้วเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคมที่จะต้องช่วยกันหล่อหลอม และเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ถูกต้องให้กับเยาวชนของชาติที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า ให้เขาเป็นคนดี มีคุณธรรม สามารถเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน ชุมชน หมู่บ้าน ขึ้นไปจนถึงระดับรัฐบาลเลย ตนอยากให้กลไกทางสังคม ทั้ง “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ “ประชารัฐ” ชุมชน เอกชน รัฐ ในนามของรัฐบาล ร่วมมือกันหล่อหลอมลูกหลานของเราให้เป็น “พลเมืองดี” ของประเทศชาติต่อไป เป็นพลเมืองที่มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย รวมทั้งเป็นคนที่มีวินัยและจิตสาธารณะมีความพร้อมที่จะปกป้อง ดูแลประเทศไทยของเราในอนาคต และตนขอเป็นตัวแทนผู้ใหญ่ทุกคนส่งความรักความปรารถนาดี ไปยังเด็กและเยาวชนทุกคน ขอให้ทุกคนประสบแต่ความสุข เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของชาติ เด็กไทยเราต้องเตรียมตัวเองสู่ AEC ด้วย อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องพัฒนาตัวเองจึงจะได้ประโยชน์
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ว่า การนิรโทษกรรมต้องมาด้วยกฎหมาย อันนี้ขอให้คณะทำงานฝ่ายกฎหมายดำเนินการไป เรื่องการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ทุกคนก็ต้องเร่งดำเนินการ อยากให้ทุกเรื่องที่บอกว่าต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย เป็นหน้าที่ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมดีกว่า องค์กรอิสระต่างๆ มีหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาทำงานอย่างอิสระไม่ไปครอบงำ เพียงแต่หน้าที่ของรัฐบาลคือดูความเหมาะสม ดูการดำเนินการ ให้เป็นไปตามห้วงระยะเวลาที่กำหนด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ไปผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ระมัดระวังอยู่เสมอ ทุกคนมีสิทธิในการต่อสู้ด้วยกฎหมายอย่าไปต่อสู้ด้วยสื่อ ทำให้สังคมปั่นป่วนไปหมด ถ้าคิดว่าพูดในเรื่องจริง วันหลังก็ขอเชิญผู้แทนทางทหารไปชี้แจงด้วยแล้วกัน สำคัญว่าท่านจะกล้าไหม ไม่อย่างนั้นท่านก็เล่นงานทางเจ้าหน้าที่อยู่ฝ่ายเดียว ท่านต้องนึกถึงการกระทำของท่านด้วย อย่าอ้างประชาชน อย่าอ้างประชาธิปไตยแต่เพียงอย่างเดียว
“ในส่วนของการสร้างความเข้าใจนั้นอยากจะฝากสื่อด้วย ขอให้เสนอทั้งสองทาง ถ้าท่านคิดว่าท่านจะเสนอให้ความเป็นธรรม ท่านก็ต้องเอาฝ่ายรัฐ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ เขาไปชี้แจงด้วย ประชาชนเขาจะเลือกปฏิบัติเอง เขาจะฟังใคร แต่ท่านเอาข้างใดข้างหนึ่งมาก็ทะเลาะกันอยู่นี่ ตีกันไป ตีกันมาทุกวัน ไม่อยากให้เราตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ไม่ดี ที่ดี ๆ ก็ไม่ได้ว่าท่าน นักการเมืองที่ไม่ดีก็มีอยู่ ตอบโต้กันตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ตามสื่อบ้าง อะไรบ้าง ผมไม่เห็นเกิดประโยชน์เลย ถามซิว่าประโยชน์ที่เถียงกันอยู่ ประชาชนได้อะไรบ้างหรือเปล่า ผมดูแล้ว ไม่มี แล้วท้ายสุดก็กลับมาโทษรัฐบาล คสช.อีก ว่าเข้ามาแล้วทำให้การเมืองเสียหาย ประชาธิปไตยเสียหาย ท่านทำความเสียหายไว้มากกว่าที่ผมทำมาก ก็ขอให้ร่วมมือกันแก้ไข และรับปัญหาต่อไปเพื่อจะดำเนินการให้ประชาชนมีความสุข” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
นายกฯ กล่าวอีกว่า การเดินหน้าประเทศระยะต่อไป สร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วนให้พัฒนาอย่างยั่งยืน การปฏิรูปประเทศ ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศต่างๆ นั้นเพื่อขจัดความขัดแย้งของสังคม อันนั้นเขามุ่งหวังแก้ไขปัญหาให้ไม่ขัดแย้งกัน ใช้กฎหมายให้ได้ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความร่วมมือทั้งสิ้น ประชาชนถ้าไม่ร่วมมือผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ประกอบการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าไม่ร่วมมือกันแล้วจะทำได้ยังไง ไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง คิดเอากำไร ขาดทุนอยู่แค่นั้นอย่างเดียว ไม่รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ท่านต้องปฏิรูปตนเอง เริ่มจากตัวเอง ครอบครัว หน่วยงาน เคารพกฎหมาย กติกาบ้านเมือง ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคม เพื่อให้คำว่าประชารัฐ เกิดได้อย่างแท้จริง ประเทศไทยเราจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิศรี มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
คำต่อคำ : รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” วันที่ 8 ม.ค. 2559
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน ส.ค.ส. แก่ปวงชนชาวไทย โดยมีพรพระราชทานว่า “ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ” ผมขออัญเชิญมากล่าวย้ำเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับทุกภาคส่วน ในการทำงานร่วมกันขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศของเราต่อไป รวมทั้งขอให้พสกนิกรชาวไทย ทุกหมู่เหล่า น้อมนำไปเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตอย่างมีสติ และรู้เท่าทันการณ์อยู่เสมอ
วันเสาร์ที่สอง ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ ผมขอฝากข้อคิด ผ่านคำขวัญประจำปีนี้ว่า “เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต”แม้จะเป็นคำขวัญที่ผมต้องการมอบให้กับเด็กๆ แต่ในทางปฏิบัติแล้วผมถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคมที่จะต้องช่วยกันสอน ช่วยกันหล่อหลอม และเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ถูกต้องให้กับเยาวชนของชาติที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้า ให้เขาเป็นคนดี มีคุณธรรม มีความเพียรอันบริสุทธิ์ สามารถเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ต้องเริ่มตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน ชุมชน หมู่บ้าน ขึ้นไปจนถึงระดับรัฐบาลเลย ผมอยากให้กลไกทางสังคม ทั้ง “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ“ประชารัฐ” ชุมชน เอกชน รัฐ ในนามของรัฐบาล ร่วมมือกันหล่อหลอมลูกหลานของเราให้เป็น “พลเมืองดี” ของประเทศชาติต่อไป เป็นพลเมืองที่มีความรู้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย รวมทั้งเป็นคนที่มีวินัยและจิตสาธารณะมีความพร้อมที่จะปกป้อง ดูแลประเทศไทยของเราในอนาคต
ทั้งนี้ กิจกรรมวันเด็กต่างๆ ในปีนี้นั้น หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ได้มีการร่วมกันจัดขึ้นหลายแห่ง รวมทั้งที่ทำเนียบรัฐบาลนี้ด้วย จะเน้นการส่งเสริมการคิด ทั้งในกรอบนอกกรอบ การเป็นนักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ การเสริมสร้างจินตนาการ การเรียนรู้ด้วยการลงมือทำเอง การคิดเป็น สังเคราะห์เป็น คิดเป็นกระบวนการแล้วแก้ปัญหาให้ได้ มีวิธีการปฏิบัติด้วย แล้วก็เป็นการอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรม ความเป็นไทย และความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของประเทศเป็นหลักในการดำรงชีวิต อยากให้เด็ก ๆ ที่ร่วมงานนอกจากจะมีความสุขร่วมกับผู้ปกครองแล้ว ก็ยังได้ของขวัญติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย เป็นกำลังใจ แล้วที่ดีที่สุดก็ได้รับการปลูก บ่มเพาะ “ปัญญา” ด้วย เพราะปัญญานั้นเป็น “ทรัพย์สินที่ไม่มีวันสูญหาย”
เมื่อวานนี้ ก็ได้มีโอกาสต้อนรับเด็กและเยาวชนที่ได้รับรางวัลเด็กและเยาวชนดีเด่น รวมทั้งเด็กและเยาวชนที่ได้นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติจำนวนทั้งสิ้น 779 คน มีทั้งครูและผู้ปกครองมาด้วย ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเด็ก เยาวชนในประเทศเรา เพราะเชื่อว่ามีเยาวชนไทยอีกมากมายที่เป็นเด็กดี มีคุณธรรม ช่วยเหลือสังคม ผมขอถือโอกาสนี้แสดงความชื่นชมยินดีกับเด็กและเยาวชนทุกคนอีกครั้ง ขอให้เด็ก ๆ ทุกคนมุ่งมั่นที่จะประพฤติดี เรียนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ ขยันประหยัด กตัญญู อุทิศตนเพื่อส่วนรวม และที่สำคัญก็คือเรื่องความขยันหมั่นเพียร ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง ฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ
เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติในวันพรุ่งนี้ ผมในนามของคณะรัฐมนตรีขอเป็นตัวแทนผู้ใหญ่ทุกคนส่งความรักความปรารถนาดี ไปยังเด็กและเยาวชนทุกคนทั่วประเทศ ขออวยพรให้ทุกคนประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ มีความเจริญก้าวหน้า เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของชาติ อีกอย่าง เด็กไทยเราต้องเตรียมตัวเองสู่ AEC ด้วย อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องพัฒนาตัวเองจึงจะได้ประโยชน์
วันนี้มีเรื่องชี้แจงพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ รัฐบาล ครม. คสช. ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ในปี 2559 ดังต่อไปนี้
เรื่องที่ 1) คืองานที่ต้องปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน มีผลสัมฤทธิ์ในห้วงเวลาที่มีอยู่ ประกอบด้วย
1.1) งานบริหารราชการแผ่นดิน ตามพันธกิจ ภารกิจ ของหน่วยงาน แต่ต้องทำในลักษณะการบูรณาการ ในกิจกรรมเดียวกัน ร่วมกัน ทั้งแผนงาน โครงการ งบประมาณ ในทุกกิจกรรม จะได้ขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน ไม่งั้นก็กระจายเป็นเบี้ยหัวแตกทั้งใช้เงิน ทั้งโครงการไม่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทั้งหมด หาผลสัมฤทธิ์ไม่ได้
1.2) งานต่อไปคืองานปฏิรูประยะที่ 1 ซึ่งดำเนินการตั้งแต่ คสช.เข้ามาแล้ว รวมถึง ครม.ชุดที่ 1 วันนี้ก็ชุดที่2 แล้ว ได้ร่วมกันดำเนินการจัดทำแผนปฏิรูปร่วมกับ สปท. จากแนวทางของ สปช. ที่ผ่านมาให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด โดยต้องกำหนดวาระ กิจกรรมหลัก รอง เสริม แผนการดำเนินงาน ข้อกฎหมาย งบประมาณต่างๆ นั้นให้ชัดเจน 20 ปี เราก็คงจะใช้งบประมาณในช่วงที่เราอยู่เท่านั้น ที่เหลือก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปดำเนินการ
1.3) เรื่องต่อไปคือการแก้ปัญหาเร่งด่วนเป็นงานสำคัญ เช่น การบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งทางบกและทางทะเล แก้ปัญหาการบุกรุกป่า การฟื้นฟูป่าทั้งบนบกและป่าชายเลน การสร้างป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชน ธนาคารอาหาร Food Bank เหล่านี้สำคัญที่สุด แล้วก็ต้องมีการจัดที่ดินทำกินให้ประชาชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะว่าหลายคน หลายกลุ่มไม่มีที่ทำกินก็ไปบุกรุก เราก็ต้องแก้ปัญหาทั้งรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ด้วย สร้างเศรษฐกิจชุมชน เกษตรกร ครบวงจร ทั้งต้นทาง กลางทาง แล้วก็ปลายทาง การแก้ปัญหาสะสม IUU ICAO ค้ามนุษย์ เหล่านี้เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ เราต้องแก้ให้ได้อย่างยั่งยืน บางอย่างอาจจะไม่เสร็จทีเดียว ผมก็เริ่มต้นให้ ท่านไปทำกันต่อไปในวันหน้า
1.4) เรื่องต่อไป เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมาย กฎ ระเบียบ ให้มีความทันสมัย รวมทั้งเครื่องมือในการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ การอำนวยความสะดวก การค้า การลงทุน และการให้บริการแก่ประชาชน รวมทั้งทำให้กฎหมายเป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้ประเทศชาติและสากลยอมรับ ประชาชนได้รับประโยชน์ รวมถึงจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายภาครัฐแบบบูรณาการ ทุกอย่างถ้าเราคำนึงถึงกฎหมายอย่างเดียวก็ไปไม่ได้ การบังคับใช้กฎหมายก็ไปไม่ได้ถ้าทุกคนไม่เคารพกฎหมาย เพราะฉะนั้นการปลุก “จิตสำนึก” สำคัญที่สุด ทุกๆ เรื่องนี่ ถ้าทุกคนแก้ไขตัวเองได้ ปฏิรูปตัวเองได้ปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น ก็ไม่ต้องใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขัดแย้ง
1.5) เรื่องต่อไปคือการวางพื้นฐานการทำงาน การพัฒนาของประเทศ วันนี้เราได้แบ่งการทำงานของรัฐบาล ของ คสช.เป็น 6 กลุ่มงาน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูป แล้วตรงกับยุทธศาสตร์ประเทศ 20 ปี ข้างหน้า และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 13 14 15 ต่อๆ ไปเรื่อยๆ อะไรที่จบแล้วก็จบไป อะไรยังไม่จบก็ทำต่อไป บางอย่างต้องทำยาวนาน เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้เราต้องทำให้เกื้อกูลกัน ให้ได้ ให้จับต้องให้ได้ เป็นรูปธรรมให้ได้ ก็ทำได้แค่เฉพาะที่อยู่ เริ่มต้นให้ ที่เหลือท่านก็ต้องให้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ทำต่อไป
1.6) เรื่องต่อไปสำคัญก็คือเรื่องการปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ของทุกหน่วยงาน ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ อย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ไม่อย่างนั้นก็ขัดแย้งกันเรื่อยไป เพราะไม่เข้าใจกัน บางอย่างทำไปแล้ว บางอย่างก็กำลังเริ่มทำ ก็ไม่มีใครทราบ คิดว่าเรายังบกพร่องเรื่องนี้อยู่มาก วันนี้ก็ได้สังการให้หน่วยราชการทุกหน่วยได้ดำเนินการแล้ว
1.7) เรื่องต่อไปเรื่องการกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ สภาวะภายใน ภายนอก ที่ผันผวน ตลอดเวลา ทั้งโลก เราก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้มแข็งทั้งจากภายใน ภายนอก ในลักษณะ
ประชารัฐ เจริญเติบโตจากภายใน เริ่มจากชุมชนก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประเทศเราพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ยกระดับทุกกลุ่ม ทุกเป้าหมาย ทุกอาชีพรายได้ ในระยะที่ 1 ให้ได้ ซึ่งมี ปัญหามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาทางด้านการเกษตร เกษตรกรมีรายได้น้อย มีปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องอะไรอีก เหล่านี้ต้องเริ่มต้นให้ได้ ก็ขอความกรุณาอย่าเพิ่งขัดแย้งเลย เราพยายามจะทำอย่างเต็มที่ ให้เกิดการครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องยาง ยางก็กำลังดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนำมาใช้ประโยชน์ในการทำถนน ในการทำสนามกีฬา หลายๆอย่าง เรามีแผนงานอยู่แล้ว ขณะนี้ต้องผ่านการคัดกรองอีก แล้วก็เร่งให้ทันเวลา แต่ปัญหาของเราก็คือต้องใช้จ่ายงบประมาณมากขึ้น ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจ มันเป็นเรื่องความมั่นคงอย่างยั่งยืนในวันหน้า
1.8) เรื่องต่อไปคือเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญ ฉบับต่อไปเรื่องต่อไปเรื่องการให้เป็นสากล รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลัก เพื่อเป็นแนวทางให้ เป็นหลักการ เพราะฉะนั้นอย่าไปทะเลาะกันมากนักเลยเรื่องรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญๆ เท่านั้น อย่างอื่นนั้นที่มีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนก็คือ กฎหมายลูก กฎหมายที่ต้องใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกอย่างนั้น เราทำเพื่อประชาชนทั้งสิ้น เพื่อแก้ไขปัญหา ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลย อย่างที่กล่าวอ้างกันทั้งสิ้น เราต้องการให้ประเทศชาติ ประชาชนนั้น มีความสุขแล้วก็ยั่งยืน ไม่ใช่เพื่อให้มีการเมืองที่ทะเลาะ แบ่งพวกแบ่งฝ่ายกัน ประชาชนแบ่งพวก แบ่งฝ่าย ขัดแย้ง ตีกันอีก ก็คงให้เกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป
2)เรื่องกลุ่มงานที่ สอง คือการแก้ไขปัญหาด้านการเมือง ด้านความมั่นคง ทุกเรื่องนั้นจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาความสับสนวุ่นวายโดยใช้กฎหมายเป็นหลักในการดำเนินการ หากทุกคนมีเจตนาดี ไม่ว่าจะพรรคการเมือง นักการเมืองเข้ามาช่วยกันปฏิรูป ช่วยกันพูด ช่วยกันแสดงความคิดเห็นเรื่องการปฏิรูปดีกว่า อย่ามาติติง โดยที่ยังไม่พูดถึงการปฏิรูปกันเลย พูดถึงแต่เพียงเรื่องอำนาจ การใช้อำนาจ ระวังการสืบทอดอำนาจของ อะไรทำนองนี้ก็จะทำให้ไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วประชาชนก็ไม่พึงพอใจ การเลือกตั้งก็มีปัญหา ก็จะกลับมาโทษผมอีก ก็คงไม่ถูกต้องทำอย่างไรให้ตัวเองพัฒนาแล้วก็ให้ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าดี แก้ไข ทุกคนก็ให้อภัยหมด กลับมาสู่การพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไป เราไม่ใช่ศัตรูกัน ท่านเป็นศัตรูเฉพาะเรื่องกฎหมาย เพราะท่านทำความผิด ก็ต้องรับผิดชอบกันไปด้วย เรื่องความทั่วถึง ความเป็นธรรม และความยั่งยืน เรื่องใดก็ตามถ้าไม่มีความจำเป็นมากนัก เราก็ไม่ใช้มาตรา 44 ถ้าจำเป็นเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วให้เป็นมาตรการในเชิงป้องกัน ป้องปรามด้วย คนจะได้ไม่กล้า ผมเห็นว่าเรื่องการจราจร เรื่องการบาดเจ็บสูญเสียในช่วงปีใหม่ถึงแม้จะมีกฎหมายหนักประการใดก็ตาม ทุกคนก็ยังมีความสูญเสียอยู่ เพราะว่าไร เพราะว่าตัวเองไม่ระมัดระวัง ถึงแม้จะมีอะไรก็ตาม เมื่อทานเหล้าเข้าไปมากๆ ก็เสียหายหมด ครอบครัวเสียหายเดือดร้อน ปีใหม่แทนที่จะเป็นปีแห่งความสุข ของครอบครัวลูกหลาน กลายเป็นว่า ตายไปแล้ว ลูกหลานอยู่อย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่รักตัวเองก็ลำบาก ถ้าสมมุติว่าเราใช้มาตรา 44 ในบางเรื่อง เพื่อการบูรณาการ เพื่อการขับเคลื่อน ก็ต้องจัดทำกฎหมายควบคู่ไปด้วย เป็น พรบ. หรือแม้กระทั่งกฎกระทรวงต่าง ๆ ก็ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ทุกคนต้องเข้าใจว่ามีกฎหมายอะไรบ้าง วันนี้ไม่ใช่รัฐธรรมนูญอย่างเดียว ต้องมีกฎหมายทั้งการบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายในการคดีอาญา คดีแพ่ง เรื่องการทุจริต อะไรต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างที่ผมเคยกล่าวมาแล้ว ให้เกิดการบูรณาการ มีการตรวจสอบ ถ่วงดุล ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
3) เรื่องที่ 3 ก็คือวางแผนงาน โครงการระยะยาว ตามยุทธศาสตร์ ที่เรียนไว้ว่า 20 ปี แต่จะทำแค่ไหน ผมก็ทำแค่นั้น ที่เหลือก็ไปทำกันต่อ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยแล้วแต่ท่าน ขอให้ประชาชนได้ติดตามแล้วกัน อะไรที่ดีท่านก็ไปหา นักการเมืองที่ท่านชอบ พอใจเลือกเขาเข้ามาให้ทำ ถ้าเห็นว่าที่ผมร่างไว้มันดี ถ้าเห็นอย่างอื่นดีกว่าก็แล้วแต่ท่าน วันหน้าก็ต้องรับผิดชอบกันเอง ในเรื่องของการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน มันจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม เพราะเราต้องเปิดประเทศ เป็น AEC ไม่ใช่หลายคนบอกว่าไม่ต้องลงทุนมากนักหรอก อยู่เงียบ ๆ อยู่เฉย ๆ ก็ได้ ไม่สร้างภาระหนี้สินด้วย อะไรด้วย แล้วผมถามวันหน้าจะอยู่ได้ไหม ถ้าทุกอย่างต้องใช้เงินแบบเดิม การปรับปรุงโครงสร้างอะไรก็ไม่เกิด การลงทุนของประเทศก็ไม่มี ความเข้มแข็งของประเทศก็ไม่มี ขีดความสามารถของประเทศก็อ่อนด้อย ทุกอย่างมันแย่ไปหมด ในอนาคตเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ ก็ทำโครงการระยะยาวไว้ ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น ท่านทำต่อไปแล้วกัน แล้วแต่ท่าน การสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตร และผู้มีรายได้น้อย โดยแก้ไข และริเริ่มให้ได้ในระยะที่ ๑ คือแก้ไขทั้งหมด เพียงแต่ว่างานมันมาก เพราะฉะนั้นจะต้องมีการเริ่มต้นมียานขับเคลื่อน มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ แล้วจะได้ผลที่ยั่งยืน ในเวลาต่อไป ไม่ใช่วันนี้สั่ง พรุ่งนี้ได้ เพราะมันถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน เราก็จะดำเนินการต่อเนื่องในระยะแรก
4) เรื่องที่ 4 เรื่องการกำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้ประเทศไทย เป็นสังคมสันติสุข และปลอดภัย จาก
ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การกระทำผิดกฎหมาย การสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ซึ่งปัจจุบันยังคงมีอยู่ เราจะทำยังไงกัน เช่น การไม่เคารพกฎจราจร การแข่งรถบนทางสัญจร เด็กแว้น นักเรียนตีกัน บ้างอะไรบ้าง การใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธสงครามมากมายไปหมด การใช้อิทธิพล เราต้องแก้ไขให้ได้ทุกอย่างแก้ไขที่ตัวเองทั้งสิ้น ครอบครัว สังคม ชุมชน จะต้องช่วยกันในการที่จะทำให้คนทุกคนเป็นคนดี คนดีก็คือคนที่เคารพกฎหมาย ไม่รบกวนคนอื่น ไม่ละเมิดสิทธิ์มนุษยชนผู้อื่น นั่นแหละ หลักการคร่าวๆ มีหน้าที่ต่อตนเอง ต่อครอบครัว แล้วก็ต่อประเทศชาติ ในส่วนของการการแก้ไขกฎหมายและ พ.ร.บ.ต่าง ๆ กำลังดำเนินการอยู่ 300 กว่าฉบับทำไปได้ประมาณ 140 กว่า 150 กว่านี่ ที่เหลือก็กำลังอยู่ในขบวนการอยู่ ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ กฎหมายที่ออกไปใหม่ ๆ เป็นกฎหมายที่ไม่เคยออกได้ หรือเป็นกฎหมายที่ปรับปรุง ถึงแม้ว่าบ่งอย่างทุกคนยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ท้ายสุดผมว่าต้องเข้าใจ เพราะเกิดประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสิ้น ลดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ กับประชาชน ถ้าเราออกกฎหมายมาก ๆ แรงมาก ๆ บังคับใช้ไม่ได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ อย่างเช่นการชุมนุม อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือ มันก็ต่อต้านกันตลอด ต่อต้านตลอดก็แรงขึ้นเรื่อย ๆ อยากจะเรียนว่าสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้สังคมสงบเรียบร้อย ถ้าไปมองในแง่ของ สิทธิมนุษย์ชน อะไรต่าง ๆ มันไม่ใช่หรอก คนละเรื่องกัน กฎหมายคือกฎหมาย สิทธิมนุษยชนคือสิทธิมนุษยชน ที่ท่านจะทำอะไรก็ได้ภายใต้แผ่นดิน ภายใต้กฎหมาย สำคัญที่สุดคือกฎหมาย
5) เรื่องที่ 5 ที่ต้องเร่งดำนเนินการคือเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาระยะที่ 1 ให้ได้ การปฏิรูประบบราชการ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เหล่านี้ เป็นกลุ่มของข้าราชการข้อสำคัญคือข้าราชการต้องเริ่มจากตัวเองก่อน จากหน่วยงานของท่านก่อน ต้องปรับใหม่ วิธีการทำงานในเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ เตรียมมาตรการเผชิญเหตุ แผนเผชิญเหตุไว้ให้ได้ อย่ารอให้เกิดขึ้น แล้วมาแก้ทีหลัง ก็จะแก้ไม่ได้ พอกพูนไปเรื่อย ๆ
เรื่องที่ 6 คือเรื่อง การปรองดองสมานฉันท์ ก็พูดกันมานานหลายคนก็ยังเข้าใจว่าการปรองดองสมานฉัน ก็คือการนิรโทษ ยกโทษให้ ก็เคยเรียนไปหลายครั้งแล้วว่าจะต้องมาด้วยกฎหมาย อันนี้ก็ขอให้ดำเนินการต่อไป โดยคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะมาเป็นเหตุผลให้ทำอย่างไรให้มีการเลือกตั้ง หรือผ่านรัฐธรรมนูญ แต่ต้องปรองดอง นิรโทษว่าคนละเรื่องกัน เรื่องการปฏิรูป กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ก็เหมือนกัน ทุกคนก็ต้องเร่งดำเนินการ หน่วยงานของใครก็เร่งดำเนินการของตัวเองมาด้วย อย่าไปกังวลว่าเราบังคับ บางทีท่านไม่รู้ข้อมูลเท่าที่ควร ท่านก็คิดตามใจชอบไป แล้วก็แนะให้เขาทำ พอเขาทำไม่ได้ ท่านก็แอนตี้เขา ไม่ชอบเขาทำนองนี้ ไม่ได้ ข้อมูลต้องครบทุกคน ถ้าคิดจะทำงาน ถ้าข้อมูลไม่ถูกต้อง มันเริ่มไม่ถูกต้องแล้ว มาคิดตามใจตัวเองไม่ได้ ต้องให้มีแบบอย่างมีแนวทางนำร่องไว้บ้าง อย่าคิดด้วยใจตัวเองทั้งหมด มันสรุปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกเรื่องที่บอกว่าต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย เป็นหน้าที่ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมดีกว่า องค์กรอิสระต่างๆ เขามีหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว มีกฎหมายเขาอยู่แล้ว เราปล่อยให้เขาทำงานอย่างอิสระไม่ไปครอบงำ หรือรัฐบาลก็ไม่ไปสั่งการใด ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย เพียงแต่ว่า หน้าที่ของรัฐบาลคือ ดูความเหมาะสม ดูการดำเนินการ ให้เป็นไปตามห้วงระยะเวลาที่มีอยู่ ที่กำหนด ที่ควรจะเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องไม่ไปผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ระมัดระวังอยู่เสมอ ทุกคนมีสิทธิ์ ในการต่อสู้ด้วยกฎหมาย อย่าไปต่อสู้ด้วยสื่อ ด้วยพูด ด้วยอะไรต่าง ๆ ทำให้สังคมปั่นป่วนไปหมด บิดเบือน บางอย่างก็ไม่มีข้อเท็จจริง ถ้าคิดว่าท่านพูดในเรื่องจริง วันหลังก็ขอเชิญผู้แทนทางทหารไปชี้แจงด้วยแล้วกัน ไม่ว่าจะเรื่องของการใช้ความรุนแรง ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมให้เจ้าหน้าที่ไปชี้แจง ในการชี้แจงของท่านด้วย สำคัญว่าท่านจะกล้าไหมเท่านั้น ที่จะให้พวกเราไปชี้แจง ไม่อย่างนั้น ท่านก็เล่นงานทางเจ้าหน้าที่อยู่ฝ่ายเดียว ท่านต้องนึกถึงการกระทำของท่านด้วย อย่าอ้างประชาชน อย่าอ้างประชาธิปไตยแต่เพียงอย่างเดียว
ในส่วนของการสร้างความเข้าใจนั้นอยากจะฝากสื่อด้วย ขอให้เสนอทั้ง 2 ทางถ้าท่านคิดว่าท่านจะเสนอให้ความเป็นธรรม ท่านก็ต้องเอาฝ่ายรัฐ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ เขาไปชี้แจงด้วย ประชาชนเขาจะเลือกปฏิบัติเอง เขาจะฟังใคร แต่ท่านเอาข้างใดข้างหนึ่งมาก็ทะเลาะกันอยู่นี่ ตีกันไป ตีกันมาทุกวัน ไม่อยากให้เราตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ไม่ดี ที่ดี ๆ ก็ไม่ได้ว่าท่าน นักการเมืองที่ไม่ดีก็มีอยู่ ตอบโต้กันตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ตามสื่อบ้าง อะไรบ้าง ผมไม่เห็นเกิดประโยชน์เลย ถามซิว่าประโยชน์ที่เถียงกันอยู่ ประชาชนได้อะไรบ้างหรือเปล่า ผมดูแล้ว ไม่มี แล้วท้ายสุดก็กลับมาโทษรัฐบาล คสช.อีก ว่าเข้ามาแล้วทำให้การเมืองเสียหาย ประชาธิปไตยเสียหาย ท่านทำความเสียหายไว้มากกว่าที่ผมทำมาก ก็ขอให้ร่วมมือกันแก้ไข และรับปัญหาต่อไปเพื่อจะดำเนินการให้ประชาชนมีความสุข
การทำอะไรก็ตาม ของรัฐบาลใด ๆ ก็ตาม จะต้องเริ่มต้นจากดูข้อกฎหมายก่อน ไม่อย่างนั้น ก็มีปัญหาหมด ต้องดูข้อบังคับ ข้อกำหนดทางกฎหมายต่าง ๆ มากมาย เสร็จแล้วก็มาต่อสู้กันว่าไม่เป็นธรรม ไม่ได้ อย่าคิดเอาเอง อย่าใช้ความรู้สึกอย่าใช้อำนาจ เพี่อผลประโยชน์ หรือฟังข้อมูลที่บิดเบือน ขยายความขัดแย้งไปเรื่อย ๆ
เหล่านี้เราต้องปฏิรูปทั้งสิ้น เรียนไปแล้วว่าต้องเริ่มจากที่ตัวเราเองก่อนทั้งสิ้น และก็หน่วยงานของตัวเองก่อน รัฐบาล ข้าราชการ องค์กร รัฐวิสาหกิจ อย่าให้ต้องบังคับทุกเรื่อง ถ้าท่านรักชาติ รักประเทศตัวเองท่านคิดของท่านมา เสนอขึ้นมา ผมก็จะส่งไปสภาปฏิรูป พร้อมข้อมูล หลักการ และเหตุผล ไม่ใช่เอาปัญหามา เอาสิ่งที่ต้องการมา แล้วส่งมาแค่นี้ ใครจะทำอะไรได้ วันหน้าก็ขัดแย้งกันอีก มันก็ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์
เรื่องที่ 7) ก็คือเรื่อง บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะต้องชัดเจนขึ้น วันนี้ได้ให้มีการ จัดกลุ่มประเทศที่มีอยู่ในประชาคม โลกนี้ ให้ได้ ประชาคมต่าง ๆ มีกี่ประชาคม กลุ่มประเทศมีกี่กลุ่ม แล้วเราจะทำข้อตกลง พันธะสัญญา ค้าขายร่วมกับประเทศใดก่อน ประเทศใดหลัง ประเทศใดมาก น้อย เราต้องเดินหน้าไปด้วยกัน ทุกกลุ่มประเทศ รังเกียจกันไม่ได้ เกลียดกันไม่ได้อยู่แล้ว โลกใบนี้ ยิ่งเกลียดกัน ก็ยิ่งทะเลาะกัน แล้วก็ขัดแย้งอันตราย ประชาชนเดือดร้อน วันนี้เราก็พยายามมองไปทาง ตามแนวระเบียงตะวันตก ตะวันออก แนวเหนือ-ใต้ หรือ ใต้ ใต้ อะไรก็แล้วแต่ เชื่อมโยงกับมหาอำนาจ โดยเริ่มต้นให้ความสำคัญกับ CLMV ในอาเซียนก่อน เราก็ต้องกำหนดให้ชัดเจนในเรื่องความร่วมมือ กิจกรรม ที่ต่างฝ่ายต่างมีศักยภาพ ให้มันตรงกัน อะไรร่วมกันได้ก็ร่วมไป อะไรที่จะต้องค้าขาย แข่งขันกัน เราก็ต้องไปพัฒนาขีดความสามารถของเรา อันไหนจะไปร่วมทุนก็ว่ากันให้ครบ เชื่อมต่อระหว่างไทย บวก 1 อาเซี่ยน บวก 1 มาที่ไทย ทั้งการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว หลายอย่าง การท่องเที่ยว หลายประเทศต้องการให้เราไปเป็นผู้ให้ข้อมูล ให้ความรู้เขา เขาชื่นชมว่าประเทศไทยจัดการท่องเที่ยวได้ดีมาก โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ด้านความมั่นคง ก็มีความร่วมมือด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศ การป้องกันการก่อการร้าย การข่าว อะไรต่าง ๆ เหล่านี้สำคัญ การศึกษา เราต้องมีการพัฒนาการศึกษาให้เร็วกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ การสาธารณสุข ที่จะต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ข้อสำคัญก็คือ ถ้าเราไปมุ่งเน้นเรื่องงบประมาณ เรื่องการใช้จ่ายการรักษา โดยลืมนึกถึงเรื่องการป้องกัน การให้ความรู้ ที่จะต้องไม่ต้องไปหาหมอมากนัก ใช้จ่ายแพง วันนี้รายได้น้อย ก็เป็นผลกระทบทั้งสิ้น เรื่องการวิจัยพัฒนาวันนี้ก็ต้องชัดเจนขึ้นในระยะเวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดนี่ จะวิจัยอะไรออกมาได้บ้าง ผลิตอะไรได้บ้าง เมื่อวานนี้ได้ให้กำลังใจไปกับนักศึกษาจากธรรมศาสตร์ คิดในเรื่องเครื่องมือในทางกายภาพให้โรงพยาบาล ยังไม่มีใครสั่งเขาเลย ผมถามเขาบอกว่าทำมาหลายปีแล้ว เครื่องประมาณสัก 2 แสน เครื่องเหล่านี้ของเมืองนอกก็อาจจะดีกว่าจริง อาจจะมีเทคโนโลยีสูงกว่าเรา แต่ใช้ได้ใกล้เคียงกัน ของเมืองนอกราคา 25 ล้านบาท ของเรา 2 แสน อาจจะถูกกว่า อาจจะเทคโนโลยีต่ำกว่า แต่ใช้ได้เหมือนกัน ทดลองสั่งไปแล้ว เดี๋ยวจะไปให้โรงพยาบาล บริจาคให้โรงพยาบาล ให้กำลังใจเขาไปแล้ว สั่งมาสัก 10 เครื่อง ไม่รู้จะทำเสร็จเมื่อไรเหมือนกัน ก็เอามาลองดูก่อน ถ้าเราไม่ให้กำลังใจเขาแบบนี้ การวิจัยพัฒนาก็ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ การผลิตก็ไม่เกิด อุตสาหกรรมก็ไม่โต เพราะฉะนั้นอยากให้ช่วยให้กำลังใจกับการวิจัยพัฒนาในประเทศ ช่วยกันขับเคลื่อนไปสู่การผลิตให้ได้ วันนี้เราก็จะต้องทำให้เร็วที่สุด ในการกำหนดเป้าหมาย กำหนดผลสัมฤทธิ์ ไว้ล่วงหน้า อย่าไปคิดจะทำอะไร แผนงานโครงการจบเมื่อไรก็ไม่รู้ ใช้เงินเท่าไรก็ไม่รู้ ระยะยาวก็คิดไว้ก่อน แต่ไม่ใช่เบิกมาใช้ทั้งหมด ใช้เงินเป็นตอนๆ เงินงบประมาณบ้างเงินกู้นิดหน่อย หรือเงินร่วมทุน TPP เอกชนลงทุนร่วม อย่างนี้ ต้องวางแผนไว้อย่างนี้ แต่เป็นเรื่องของรัฐบาลหน้า จะทำ หรือไม่ทำ ต่อไป เราต้องเตรียมการให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาคมอาเซียน และประชาคมโลก เราต้องรีบทำเรื่องเหล่านี้ให้เสร็จให้ได้ในขั้นการเตรียมการ อนาคตประเทศ ให้ก่อนการเลือกตั้งใน กรกฎาคม 60 ยังไม่มั่นใจนะ เรื่องการประชามติ ถ้าทุกคนยังมองในแง่ของประชาธิปไตยอย่างเดียวมันไปไม่ได้หรอก ยังไงก็ติดหมด ท่านต้องมองซิว่า สิ่งที่เขียนไว้ สิ่งที่ทำไว้นี่เกิดประโยชน์กับใคร ประโยชน์กับผมหรือเปล่า ประโยชน์กับ คสช. หรือ ผลประโยชน์กับใครอื่นอีก เขียนกันไป แล้วก็สร้างความเข้าใจกันไปผิดๆ ถูกๆ ก็ทำให้เกิดปัญหาหมด ถ้าไม่ผ่าน ก็ไม่ผ่าน ผมทำยังไงได้ ก็ว่ากันไปแล้วกัน
8) เรื่องพันธสัญญา ข้อตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ อันนี้เป็นเรื่องที่ 8 ไทยเรามีพันธะไว้หลายอย่างด้วยกัน เข้ามาก็พยายามรวบรวม ทบทวน อะไรที่ได้เริ่มแล้ว ก็ทำให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำ ๆหยุด ๆ หรือรับปากแล้วไม่ได้ทำ เซ็นต์สัญญาแล้วไม่ได้ทำ บางอย่างเริ่มต้นคุยกัน ก็ใช้เวลา ไม่ใช่ตกลงกันได้ง่าย ๆ ไม่ใช่เราคิด แล้วเราจะทำได้เลย ถ้าเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ เขาก็ต้องเอาไปพิจารณาของเขาด้วย บางอย่างนี่ใช้เวลาพูดคุยกัน 3 ปี 4 ปี มาแล้ว โดยเฉพาะ FTA, RCEP อย่างนี้ ไม่ใช่เราไปกำหนดได้เอง เราต้องตั้งโจทย์ของเราไปคุยกับเขา เขาก็เอาข้อพิจาณาของเขามาใส่ของเรา ก็ไปหาทางลงตัวกันให้ได้ จะได้เริ่ม 1 2 3 กันได้แล้วกัน การร่วมลงทุนต่าง ๆ เหล่านี้นั้น ผมก็เน้นว่าที่เราให้สิทธิประโยชน์ไป อะไรไป จำเป็นต้องเน้นว่า ภายในปี 60 ต้องมีการลงทุน มีการผลิตบ้าง ไม่งั้นก็ไม่เกิดอีก มีการลงไว้เฉย ๆ ลงใบขออนุญาตไว้เฉย ๆ ได้สิทธิประโยชน์ไปก็ยังไม่ทำอะไร ก็รอเวลาแล้วก็มีนายหน้ามาทำอีก แล้วเสร็จแล้วก็ไปขายใบอนุญาต เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ขอให้ท่านช่วยดูแลด้วย ช่วยปกป้องกันด้วย ฉะนั้นหน่วยราชการก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้ใครมาให้ผลประโยชน์ แล้วก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ อย่างเดิมเกิดขึ้นมาอีก หน้าที่ของรัฐบาลต้องไล่ดูเรื่องนี้ทั้งหมด
เรื่องที่ 9) เรื่องเตรียมการขับเคลื่อนในฐานะประธานกลุ่ม G77 ก็จะนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นแนวทางให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราจะต้องลดช่องว่างประเทศกำลังพัฒนาแล้วก็กับประเทศพัฒนาแล้ว โดยให้ประเทศพัฒนาแล้ว ให้การสนับสนุนเงินทุน ความรู้ วิทยาการต่างๆ เทคโนโลยี วิจัยพัฒนา ต้องให้กับประเทศที่กำลังพัฒนา ไม่อย่างนั้นช่องว่างถ่างออกไปเรื่อยๆ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในประเทศ ให้เกิดความเท่าเทียมเป็นธรรม การทำงานของรัฐบาลปัจจุบันนั้น ผมใช้คำว่า “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” จริง ๆ ทุกเรื่อง ทั้ง 6 กลุ่มงาน คิดว่าทุกเรื่องจะทำอะไรก็แล้วแต่ ประชาชนจะได้อะไรทุกกลุ่ม อาชีพ รายได้ เพื่อจะได้เกิดการพัฒนา แล้วก็มีรายได้ให้กับประชาชน แล้วก็ให้กับประเทศชาตินำกลับมาพัฒนาได้มากขึ้น ลดช่องว่าง เรากับประเทศรวย ๆ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีศักยภาพอะไรเลย ต้องรับการสนับสนุนตลอดเวลาอย่างนี้ไม่ไหว การรวมกลุ่มต่างๆเหล่านั้นต้องให้เกิดความเข้มแข็ง ใช้สร้างศักยภาพของเราเองด้วย ของประชาคมอาเซี่ยนด้วย เพื่อให้ทัดเทียมประชาคมอื่นๆ โดยประชาชนทุกกลุ่มอาชีพของเรานั้น นิสิต นักศึกษา นักเรียนต่างๆ แม้กระทั่งแรงงาน ก็ต้องมีการพัฒนาตนเอง ให้ตรงกับกิจกรรม ในวันนี้ ไม่ใช่ วันหน้า ไม่ใช่รอถามว่า AEC จะได้อะไร แล้วท่านก็ไม่เตรียมตัวอะไร เรียนหนังสือก็ไม่เรียน พัฒนาฝีมือก็ไม่ทำ แล้วใครจะรับท่านไปทำงาน ไม่มีฝีมือเขาไม่รับหรอก ต้องแข่งขันกัน เขาต้องขับเคลื่อนในเรื่องของการผลิต การแปรรูป การตลาด เพราะฉะนั้นอยู่ที่คนทั้งสิ้นทรัพยากรมนุษย์สำคัญที่สุด เพื่อให้สอดคลองกับสิ่งที่เราต้องการในโลกที่มีการแข่งขันสูงขึ้น ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปคือ AEC เราจะร่วมมือกันอย่างไรในประเทศเพื่อนบ้าน หาช่องทางแสวงหาประโยชน์ร่วมกัน ที่เท่าเทียมกัน แล้วก็แบ่งปันกัน การผลิต การแปรรูป การจำหน่าย ตลาดร่วมกัน ไม่อย่างนั้นแข่งขันกันหมด ราคาก็ต่ำหมด ในอาเซี่ยนแข่งกันเอง ก็คุยกับผู้นำเขาไว้แบบนั้น ทุกคนก็เห็นด้วย แต่จะทำอย่างไร ก็ค่อย ๆ คิดไป ค่อย ๆ ทำไป ไม่รวดเร็วหรอก เพราะไม่ได้คุยกันมานานแล้ว
10) ในเรื่องของการขับเคลื่อนเหล่านี้ หลักการไม่ว่าจะขับเคลื่อน AEC หรือที่ไหนก็ตามที่ไปประชุมมานี่ รัฐบาลมีหน้าทีในการที่จะมองว่าเราจะได้ประโยชน์จากประชาคมเหล่านั้นอย่างไร ไม่ใช่ให้เขามากำหนดปิดกั้นอย่างเดียว เราก็ต้องเสนอสิ่งที่เราต้องการไปบ้าง ให้เขาดูแลเรา ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง และให้ประชาชนทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่รายได้น้อยให้ประชาชน ได้รับผลประโยชน์อย่างทัดเทียมเป็นธรรม ยกระดับรายได้ รายได้ประเทศก็จะดีขึ้น การพัฒนาก็รวมกันได้ การทำถนน เส้นทางเชื่อมโยง รถไฟต่างๆ ก็ต้องมีเงิน ไม่อย่างนั้นประเทศรวยก็มีเงิน ของเราไม่มีเงิน แล้วจะเชื่อมกันไปอย่างไร ภาระหน้าที่ก็มากมายไปหมดเราต้องเข้มแข็งไปพร้อมๆกัน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน
เราจะมีการพัฒนาสินค้า และนวัตกรรมไทยไปสู่ประชาคมโลก สร้าง แบรนด์ และสินค้า ที่เราเรียกว่า Made in Thailand ให้เป็นที่รู้จัก ให้ได้ ภายในปีที่เหลืออยู่นี่ เพราะว่าหลายอย่างเริ่มพัฒนาแล้ว จากการที่เราสนับสนุนให้มีตลาดคลองผดุงไปแล้ว แมชชิ่งกัน ให้ความรู้กัน จดทะเบียนให้เขา อะไรให้เขา หลายอย่าง ตอนนี้ เคยมีรายได้ประมาณเป็นพัน เป็นหมื่น ตอนนี้ขึ้นเป็นล้านแล้ว หลายรายเหมือนกัน จากตลาดเรานี่แหละ ถ้าเราทำจริงจังเกิดขึ้นได้แน่นอน ความอดทน ความตั้งใจ คนไทยไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย เราต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในประเทศก่อน เรียกว่า Made in Thailand ให้ได้ ต่อไปจะได้เกิดเป็น Smart and Strong cities ในทุกชุมชน ต้องเป็นเมืองที่ฉลาด แล้วแข็งแรงด้วย แข็งแรงในทุกมิติ ยั่งยืน แล้วเราก็ต้องมองประเทศ ประชาคมรอบข้าง เราจะร่วมมือได้อย่างไร ตามคำที่กล่าวถึงระเบียงเศรษฐกิจ North - South หรือ East - West วันนี้รัฐบาลไทย รัฐบาลผมก็มอง Look West เหมือนกัน มีประเทศใหญ่ๆ เขาก็ Look East ผมก็มอง Look West กลับไป ว่าเราจะร่วมมือกันได้อย่างไร ก็ได้พูดคุยกับทูตของมหาอำนาจบางประเทศไปแล้ว เพื่อจะขยายสัมพันธ์กับประเทศทางตะวันตกของไทยและของอาเซียน อันได้แก่ประเทศทางแถบเอเชียใต้ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะห่างๆกันไปหน่อย ต้องใกล้ชิดกันมากขึ้น รวมทั้งร่วมกันพัฒนาสร้างคนรุ่นใหม่ เกษตรกรรุ่นใหม่ แรงงานรุ่นใหม่ ให้เป็น Smart People / Smart Farmer / Smart Labor อะไรก็แล้วแต่ นี่สิ่งที่ผมอยากให้คนไทยได้เรียนรู้ ได้รู้จักไว้ ไม่ใช่อยากจะเป็นภาษาอังกฤษ เพียงแต่ว่าต้องใช้คำเหล่านี้เหมือนกันในการที่จะสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ เป็นคำที่เข้าใจง่าย สั้นไม่ต้องอธิบายมาก เพื่อจะรองรับการพัฒนาของประชาคมโลกได้
การเดินหน้าประเทศระยะต่อไป สร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วนให้พัฒนาอย่างยั่งยืน การปฏิรูปประเทศ ในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศต่าง ๆ นั้นเพื่อขจัดความขัดแย้งของสังคม อันนั้นเขามุ่งหวังแก้ไขปัญหาให้ไม่ขัดแย้งกัน ใช้กฎหมายให้ได้ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความร่วมมือทั้งสิ้น ประชาชนถ้าไม่ร่วมมือผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ประกอบการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าไม่ร่วมมือกันแล้วจะทำได้ยังไง ไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง คิดเอากำไร ขาดทุนอยู่แค่นั้นอย่างเดียว ไม่รับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ท่านต้องปฏิรูปตนเอง เริ่มจากตัวเอง ครอบครัว หน่วยงาน เคารพกฎหมาย กติกาบ้านเมือง ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคม เพื่อให้คำว่าประชารัฐ เกิดได้อย่างแท้จริง ประเทศไทยเราจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิศรี มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
ท้ายที่สุดนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมของเรา อันนี้เข้าปีที่สองมั้ง ปีที่แล้วได้มาเกือบพันล้าน ในการขาย แต่ในเรื่องของการลงทุน ในเรื่องของการขยายตลาด ในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจ ได้มากกว่านี้ อีกส่วนเขาไปเปิดตลาดเมืองนอกได้แล้ว ในประเทศไกลๆ ก็มี ใกล้ๆ ก็มีโดยเฉพาะตลาดชายแดน ขายดีมาก สินค้าไทย ก็แลกเปลี่ยนกัน กับประเทศเพื่อนบ้าน CLMV นี่ เราเพื่อนกัน ตลาด เมื่อวานผมไปเปิด เมื่อวันก่อน สองวันมาแล้ว เปิดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ของเราอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ ระหว่างวันที่ 6 - 26 มกราคม 2559 ซึ่งเป็นวาระของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการ ในการจัดงานมหกรรม “พม. ตลาดน้ำใจ วิถีไทยผดุง” ภายใต้แนวคิด ที่ว่า “โอกาส เกียรติ กำลังใจ คนไทยรัก และเกื้อกูลกัน” ตรงกับนโยบายรัฐบาลก็คือ พี่จูงน้อง เพื่อนจูงเพื่อน เติบโต และแข็งแกร่งไปด้วยกัน เพื่อจะมอบความรัก คืนความสุข สร้างคุณค่า มอบโอกาสให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ในเรื่องของการจำหน่ายสินค้า กระจายสินค้า เพิ่มขีดความสามารถ สร้างรายได้ให้กับประชาชน และชุมชน กลุ่มเป้าหมาย วันนี้เรามีหลายกลุ่มด้วยกัน ประเทศไทย ตั้งแต่ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส จะได้มาร่วมจัดกิจกรรมภายในงานด้วย ให้การบริการประชาชน และออกร้านจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มาจากฝีมือของพวกเขาด้วย ให้เกียรติเขาให้ศักดิ์ศรีเขาคืนไป ซึ่งมีหลายโซน
โซนที่ 1 เป็นบ้านแห่งความสุข เป็น นิทรรศการรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ อันนี้ก็ขอความร่วมมือจากภาคประกอบการธุรกิจด้วย ผมได้ให้แนวทางไปแล้ว มีการลงนามเซ็น MOU ร่วมกัน ว่าจะร่วมมือกันอย่างไรในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ได้สั่งกับท่านรองฯ ไปแล้ว ขอความร่วมมือด้วย ในเรื่องของการจองโครงการบ้านยั่งยืน เหลือประมาณสัก 8,000 ยูนิต แล้วก็จะต้องทำต่อไปในระยะยาว ก็เขียนแผนไว้หมดแล้ว ก็ไปอยู่ในแผนปฏิรูป เราต้องเอาคนที่ไม่มีบ้านอยู่อาศัยหรืออยู่ตามชุมชนแออัดเหล่านี้ขึ้นมามีความมั่นคงให้ได้ ขึ้นตึกแถว ขึ้นคอนโดอะไรต่างๆ ก็สร้าง ต้องสร้าง ริมคลองบ้าง อะไรบ้าง ในที่ชุมชนแออัดบ้าง จะได้มีพื้นที่เหลือไว้สำหรับออกกำลังกาย พักผ่อน ขายของ สนับสนุนการท่องเที่ยว แล้วก็สร้างสังคมที่ปลอดภัย ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเป็นสลัมดูไม่สะอาดแล้วก็ดูมันน่ากลัว น่าเป็นห่วง แต่ท่านต้องพัฒนาตัวเองด้วย แล้วมีการออกบูธ “หัวใจสีฟ้า ” แล้วก็มี “พม. ศูนย์ช่วยเหลือสังคม” ด้วย
โซนที่ 2การสร้างสรรค์และการแสดงศักยภาพ ประกอบด้วย นักร้องนักดนตรี ทั้งนักร้องนักดนตรี ตาบอดทั้งหมด ผมก็ได้ไปริเริ่มมา สงสารเขา ไปอยู่ตามถนน ก็ไปรวบรวมมาให้ พม. เก็บมาให้หมด แล้วก็ไปหาอาชีพ หารายได้ให้เขา แล้วก็ทำวงดนตรีขึ้นมา เมื่อวันก่อนนี้ก็ ฟังร้องเพราะดี ก็ทราบว่าบริษัทเกี่ยวกับเรื่องของเพลงก็ได้ไปติดต่อเอาบางคนนี่ไปเข้าคอส ในเรื่องการพัฒนาเรื่องการร้องเพลงด้วย ก็น่ายินดี ขอบคุณๆ ก็ใช้คำว่า From Street to Stars Show จากถนนสู่ดวงดาว เป็นการแสดงที่เราทำเพื่อเขานะ แล้วมีการแสดงศิลปะสร้างโลก โดยคนพิการสร้างสรรค์ สินค้านวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ สินค้าจากกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวไทยภูเขา แล้วก็มีคลังปัญญาผู้สูงอายุ การจดทะเบียนคนพิการ ได้ความร่วมมืออย่างดี คนผู้เฒ่าผู้แก่ คนพิการ ก็มีความสุข ผมก็ดีใจกับเขาด้วย
โซนที่ 3 คุณค่าของคนทุกช่วงวัย ประกอบด้วย มีการลงทะเบียนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การแสดงศิลปวัฒนธรรมจากเด็กและเยาวชน สินค้าสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว สินค้าผลิตภัณฑ์พื้นเมือง 4 ภาค และการจำหน่ายสินค้าราคาถูก - สินค้านาทีทอง
และโซนที่ 4 คือความสุขจากการให้ ประกอบด้วย การออกร้านจำหน่ายอาหารและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอาสาสมัครกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (อพม.) และนิคมสร้างตนเอง
ทั้งนี้ นอกจากได้ความสุขจากการมาเที่ยวตลาดคลองผดุงกรุงเกษมฯ แล้วยังได้สร้างบุญกุศล เป็นสิ่งสำคัญที่สุด จากการอุดหนุนสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่ผลิตมาจากผู้พิการบ้าง มาจากคนตามพื้นที่ห่างไกลบ้าง ในท้องถิ่นบ้างอะไรบ้าง เป็นสินค้าจากใจเขาจริงๆ จากฝีมือจริงๆ บางคน บางท่านไม่มีมือไม่มีเท้าด้วย วาดรูปสวย วันก่อน มอบให้มาด้วย มองไม่รู้เลย ว่าเป็นคนพิการวาดมา ไม่มีมือ เท้าก็ไม่มี นอนวาดอยู่กับพื้น ใช้ปากวาดเอา แล้วคนมีมือครบทำอะไรอยู่ มัวแต่สร้างความขัดแย้งอยู่
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอุดหนุนสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วช่วยกันสร้าง Story เรื่องราวในการเพิ่มมูลค่าของสินค้าต่างๆ เหล่านั้น สำคัญที่สุดคือการสร้างเรื่องราว ความเป็นมา ประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ ในท้องถิ่นของท่าน เอกลักษณ์ของท่าน แล้วก็ไปสู่ในเรื่องของการพัฒนาเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ จะได้ขายแข่งกับเขาได้ บางที่เหมือนกันทั้งหมดทุกจังหวัด ทุกตำบลทุกอำเภอ จะไปขายใคร ขายใครก็ไม่ได้แล้ว พัฒนารูปแบบให้มันเล็กลง ให้มันดัดแปลงมาใช้ได้ ราคาสูงขึ้นเอง เคยบอกไปแล้ว ทำผ้าขาวม้าให้มีราคาเท่ากับผ้าไหม ทำยังไงไปคิดเอา ตอนนี้ก็มีหลายอย่างแล้ว ขายต่างประเทศก็ได้
วันนี้ก็ขอให้ทุกคนช่วยกัน ช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองแล้วก็เตรียมการปฏิรูป ปฏิรูประยะที่ 1 ไปกับรัฐบาลนี้ ขอบคุณกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ แล้วก็หลายหน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน ประชาชน ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”