พระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. 2558 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การเรียกกำลังพลสำรองมีผลในอีก 240 วัน มีสิทธิ์เรียกกําลังพลสํารองเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร ปฏิบัติราชการ ทดลองความพรั่งพร้อม และระดมพล อยู่ในวินัยทหาร หนีตรวจสอบคุก 3 เดือน ปรับ 5 พัน ส่วนหนีฝึกทหาร หนีราชการ ทดลองความพรั่งพร้อม และระดมพล คุก 4 ปี อยู่ไม่ครบงัดอาญาทหาร ติดคุกทหารอีก นายจ้างโดนด้วย ไม่จ่ายเงินเดือนลูกจ้างระหว่างถูกเรียกปรับ 2 หมื่น
วันนี้ (30 ธ.ค.) ราชกิจจานุเบกษาได้ตีพิมพ์ พระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. 2558 หลังที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง 192 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ มีคณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.) ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นรองประธานกรรมการ และมีกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 19 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 5 คน
โดย คกส.มีหน้าที่เสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับกิจการกำลังพลสำรองและการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับกำลังพลสำรอง กำหนดแนวทางการปฏิบัติและการแก้ไขปัญหา เสนอแนะแผนการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองและกำลังสำรองอื่นๆ รวมทั้งเสนอแนะการกำหนดสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่กำลังพลสำรองและนายจ้างที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกำลังพลสำรองเข้ารับราชการทหาร และให้กรมการสรรพกำลังกลาโหม ทำหน้าที่สำนักเลขานุการของ คกส. มีหน้าที่วางแผนและประสานงานการดำเนินการ รวบรวมเอกสารข้อมูล ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ เป็นศูนย์กลางติดต่อประสานงาน และปฏิบัติการตามที่ คกส.มอบหมาย
สำหรับการรับบุคคลเข้าเป็นกําลังพลสํารอง ให้กระทรวงกลาโหม รับสมัครจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กําหนดในข้อบังคับ หรือ คัดเลือกจากนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน นายทหารสัญญาบัตรนอกราชการ นายทหารสัญญาบัตรนอกกอง ทหารกองหนุนประเภทที่ 1, 2 หรือทหารกองเกินตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ให้พนักงานเจ้าหน้าที่บรรจุรายชื่อกําลังพลสํารองในบัญชีบรรจุกําลัง โดยให้บรรจุรายชื่อบุคคลที่รับสมัครลงในบัญชีบรรจุกําลังของหน่วยทหารที่กําลังพลสํารองแจ้งความประสงค์ และกรณีที่นายทหารสัญญาบัตรกองหนุน นอกราชการ นอกกอง ทหารกองหนุรและทหารกองเกินให้บรรจุรายชื่อลงในบัญชีบรรจุกําลังของหน่วยทหารตามภูมิลําเนาทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร และให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้กําลังพลสํารองทราบ
ส่วนหน้าที่กำลังพลสำรองนั้น คือ เข้ารับราชการทหารในการเรียกกําลังพลสํารองเพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม และในการระดมพล มีอํานาจหน้าที่ตามชั้นยศและตําแหน่งเช่นเดียวกับทหารประจําการและทหารกองประจําการ แล้วแต่กรณี การแต่งตั้งและการเลื่อนยศของกําลังพลสํารอง ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยยศทหาร การผ่อนผันให้กําลังพลสํารองไม่ต้องเข้ารับราชการทหารตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง ส่วนการเรียกกําลังพลสํารองเพื่อปฏิบัติราชการ ให้กระทําได้ในกรณีจําเป็น ตามอํานาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ในภารกิจที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะ หรือป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ เป็นการชั่วคราวและเท่าที่จําเป็น และการระดมพล ให้กระทําได้ในเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือกรณีที่มีการรบหรือการสงคราม จนถึงขั้นที่ต้องมีการระดมสรรพกําลังของชาติ ให้กระทําได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
กําลังพลสํารองซึ่งถูกเรียกเข้ารับราชการทหาร ถ้าไม่มาหรือมาแต่ไม่เข้ารับราชการทหาร หรือไม่อยู่จนกว่าการรับราชการทหารแล้วเสร็จ ให้ถือว่าหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่เข้ารับราชการทหาร เว้นแต่ ข้าราชการซึ่งได้รับคําสั่งของผู้บังคับบัญชาให้ไปราชการโดยคําสั่งของเจ้ากระทรวง, นักเรียนซึ่งออกไปศึกษาต่างประเทศ และข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในระหว่างที่มีการรบหรือสงคราม อันเป็นอุปกรณ์ในการรบหรือการสงครามและอยู่ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม, บุคคลซึ่งกําลังปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยทหารในราชการสนาม ต้องได้รับการผ่อนผันเฉพาะคราวจากรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย นอกจากนี้อาจผ่อนผันได้ในกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย หรือ ป่วยไม่สามารถจะมาได้ โดยให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและเชื่อถือได้มาแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในวันที่เรียกเข้ารับราชการทหาร
กําลังพลสํารองที่เข้ารับราชการทหาร ต้องอยู่ในวินัยทหารตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร เช่นเดียวกับทหารประจําการหรือทหารกองประจําการ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าเช่าที่พัก การรักษาพยาบาล และสิทธิประโยชน์อื่น ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
ผู้ใดหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่มาหรือมาแต่ไม่เข้ารับราชการทหารในการเรียกกําลังพลสํารองเพื่อตรวจสอบ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ส่วนผู้ใดหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่มาหรือมาแต่ไม่เข้ารับราชการทหารในการเรียกกําลังพลสํารองเพื่อฝึกวิชาทหาร หรือเพื่อปฏิบัติราชการ หรือเพื่อทดลองความพรั่งพร้อม หรือในการระดมพล ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 4 ปี และผู้ใดหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่อยู่รับราชการทหารจนครบกําหนดเวลาตามที่กําหนด ให้ถือว่าผู้นั้นทําผิดฐานหนีราชการและต้องระวางโทษตามกฎหมายว่าด้วยอาญาทหาร และให้นําบทบัญญัติตามกฎหมายว่าด้วยอาญาทหารในส่วนที่เกี่ยวกับอํานาจลงทัณฑ์ในความผิดต่อวินัยทหารมาใช้บังคับ
กําลังพลสํารองที่เปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อสกุล หรือแก้ไขเลขประจําตัวประชาชน ให้แจ้งไปยังหน่วยทหารที่มีรายชื่อบรรจุอยู่ ภายใน 30 วัน หากไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ นายจ้างผู้ใดไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นกําลังพลสํารองในวันลาเพื่อรับราชการทหารตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
อนึ่ง ในบทเฉพาะกาล ให้ให้คณะกรรมการกําลังพลสํารองประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่เท่าที่จําเป็นไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในอีกไม่เกิน 180 วัน ในวาระเริ่มแรก การรับบุคคลเข้าเป็นกําลังพลสํารองให้กระทําได้เมื่อพ้น 240 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้นํากฎกระทรวง กฎ ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน ประกาศ คําสั่ง หรือมติของสภากลาโหมในส่วนที่เกี่ยวกับการกําหนดให้ทหารกองเกินและทหารกองหนุนมีหน้าที่เข้ารับราชการทหารในการเรียกพลหรือระดมพล ที่ออกตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาใช้บังคับกับการรับราชการทหารของกําลังพลสํารอง จนกว่าจะมีการออกกฎกระทรวง ข้อบังคับ หรือระเบียบ ตามพระราชบัญญัตินี้ขึ้นใช้บังคับ โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 240 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดําเนินการได้ให้รัฐมนตรีรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดําเนินการได้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ