“ประยุทธ์” เปิดงาน “ครบรอบ 1 ปี ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม” ขอข้าราชการทุกกระทรวงเข้าใจ สั่งงานเยอะเพราะรัก ไม่บ้าอำนาจ รู้ อนาคตอันตรายแค่ไหน ชี้ รธน.- ปฏิรูป ถ้าเหมือนเดิมก็เลิก ส่งลูก กทม. จัดระเบียบคลองต่อยอดถนนคนเดิน ก่อนร่วมงานเลี้ยงขอบคุณพร้อมขึ้นเวทีโชว์ลูกคอ 4 เพลงรวด
วันนี้ (29 ธ.ค.) เมื่อเวลา 19.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานครบรอบ 1 ปี ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตลาดนี้เป็นตลาดประชารัฐ เชื่อมโยงกับโอทอป ต้องการให้ผู้ประกอบการรายใหม่ขึ้นมา โดยหากลยุทธ์และวิธีการ ให้คนขายและคนซื้อมาพบกัน เพื่อที่จะนำกลับไปพัฒนา สินค้าของตัวเอง พร้อมทำให้คนเหล่านี้เข้าไปอยู่ในระบบ เพื่อให้เข้าถึงในเรื่องของการประกอบการ sme ตามที่รัฐบาลจะให้ได้ แต่ต้องเข้าสู่ระบบเสียก่อน ถึงจะสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้แต่วันนี้พอพูดถึงเรื่องภาษี ก็รู้สึกเดือดร้อน แต่ถ้าพูดเรื่องของฟรี ชอบ แต่วันนี้ตนต้องสร้างมาตรฐานเอาไว้ให้ โอกาสให้กับผู้ประกอบการผู้ค้าขายผู้ซื้อหน่วยงานราชการ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไปวันหน้า ผู้ประกอบการก็ไม่มาจดทะเบียนไม่เสียภาษี ต้องมีการจัดทำฐานข้อมูล เตือนให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ
นายกฯ กล่าวอีกว่า การรักษาพยาบาล ที่เราต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม งบประมาณก็จะสูงขึ้นตามลำดับ และต้องรองรับกับผู้สูงอายุที่มากขึ้นในอนาคต ต้องสร้างระบบเหล่านี้ใหม่ ถึงต้องมีระบบประกันสุขภาพ แต่ถ้ารัฐบาลยังต้องแบกภาระทั้งหมด ท้ายที่สุด จะล้มทั้งระบบจะไปไม่ได้ แต่เรื่อง 30 บาท ก็เลิกไม่ได้ ต้องไปหาวิธีการหาเงิน มา แต่จะใช้เงินโดยไม่คิดวิธีการหาเงิน คืนต้องนำไปสู่ การปฏิรูประบบเศรษฐกิจทั้งหมด
นายกฯ กล่าวอีกว่า เวลาไปไหนไม่ต้องส่งคนมารับมากมายไม่ต้องการ แต่ต้องการให้คุณเข้าใจในสิ่งที่ตนกำลังดำเนินการมากกว่า วันนี้ตนพูดทั้งวันปากก็เจ็บตาก็เจ็บ ดีใจที่มีคนมาร่วมทำงาน เวลาคนบอกว่าให้ทำงานอยู่ต่อไปอีก 10 ปี ถ้าตนเป็นนักการเมืองก็คงจะปลื้ม แต่แค่ 2 ปีก็แย่แล้ว การจะสร้างอนาคตประเทศชาติให้มั่นคง อยู่ที่สองมือและลมหายใจที่หอม ๆ ถ้าสองมือแล้วลมหายใจเหม็น ๆ อย่างที่บางคนพูดไม่ต้องมา พวกปากเสียไม่ต้องมา
นายกฯ กล่าวอีกว่า หลังปีใหม่สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะพูดให้น้อยลง จะพูดให้เพราะขึ้นสั้นขึ้น ให้รัฐมนตรีพูดให้เยอะขึ้น ขอบคุณข้าราชการทุกคน ที่ร่วมงานกันมา 2 ปีแล้ว ใครที่ถูกใช้งานมาก แสดงว่า ตนรัก ตนไม่ใช่คนบ้าอำนาจไม่ต้องกลัว น้องคือเพื่อนคือคนไทยคนหนึ่ง ตนไม่ใช่ศัตรูของใครขอให้จำคำพูดไว้ ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง รู้ว่าตนมีความอันตรายแค่ไหน วันข้างหน้าอันตราย ลองถามตัวเองว่า ตนทำเพื่ออะไร หรือผมบ้า หรือผมโรคจิต หรืออยากมีอำนาจหรืออยากจะสืบทอดอำนาจ เรื่องเหล่านี้ไม่เคยคิด
นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้ขอยืนยันจะสร้างระบบ ไว้ให้ ก่อนที่จะไป เพื่อให้ทุกคน มีภูมิคุ้มกันที่ดีในการทํางาน และขอ พวกท่านอย่าทำอะไรที่เป็นการทำลายองค์กรตัวเอง วันนี้ไม่มี ส.ส. ไม่มีนักการเมืองมีแต่พลเอก ประยุทธ์ ที่จะต้องแก้ปัญหาให้ได้ ภาพการทำประชามติไม่ผ่าน ตนก็มีวิธีการของตนเอง จะหาวิธีการเอง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญถ้าเขียนแล้วเป็นแบบเก่า ก็คงไม่ต้องเขียน เอาของเก่ามาใช้ก็จบแล้ว ขอถามคนทั้งประเทศประเทศไทยในวันนี้ต้องการปฏิรูปหรือไม่ ถ้าบอกว่าไม่ก็เลิก ถ้าปฏิรูปแล้วยังเหมือนเดิมก็พอ เลิก แต่ถ้าบอกว่าประเทศต้องการปฏิรูป และต้องการรับธรรมนูญที่มีความแตกต่างจากเดิม นำไปสู่การเลือกตั้งที่ปลอดภัยไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนี้ ก็พอจะมีกำลังใจ ไม่ใช่อะไรก็จะเอาเหมือนเดิมทุกอย่างแล้วตนจะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม ให้ท่านเกลียดขี้หน้าทำไม ใช่ไหม
ในอนาคตพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมีอีกหลายคลองที่จัดระเบียบไปแล้ว ฉะนั้น ขอฝาก ผู้ว่าฯ กทม. ด้วย เพื่อที่จะสร้างตลาดไปพูดที่อื่นใน กทม. หรือทำถนนคนเดิน จะต้องมีการสร้าง อาคารจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินชมนิทรรศการ ร้านขายของ และสินค้าส่วนหนึ่งที่เคยนำมาออกร้านที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ก่อนร่วมรับประทานอาหารกับคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่กระทรวง รวมถึงเจ้าของกิจการร้านค้าที่นำสินค้ามาขายในตลาด ขณะเดียวกัน พิธีกรในงานได้เชิญนายกรัฐมนตรีขึ้นบนเวที โดยนายกรัฐมนตรี ได้ร้องเพลงจำนวน 4 เพลง คือ เพลงจงรัก เพลงยังยิ้มได้ เพลงคืนความสุข และเพลงเพราะเธอคือประเทศไทย ก่อนจะกล่าวว่า ทำจากหัวใจคนหนึ่งคน ถ้ารวมหัวใจกันหลายล้านคน เพื่อเป็นประชารัฐ ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยเดินไปข้างหน้า
ทั้งนี้ ก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะลงจากเวทีได้กล่าวว่า ที่บ้านตามตัวแล้ว เห็นว่ามืดค่ำแล้วทำไมไม่กลับ ขออนุญาตครับไปทำหน้าที่ในครอบครัวบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรี ทำไมถึงร้องตั้ง 4 เพลง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “วันนี้อารมณ์ดี อยากให้ทุกคนยิ้ม มีความสุข อยากให้กำลังใจทุกคน ไม่เคยร้องมากเท่านี้มาก่อน” ขณะที่ของขวัญที่ได้มานั้น ได้ให้ทีม รปภ. ไปคัดสรร และให้ลูกน้องที่ทำงานด้วยกัน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้นำกลับบ้าน เนื่องมีจำนวนมาก จึงได้แจกจ่ายให้กับลูกน้อง ส่วนดอกไม้ก็ได้นำไปเยี่ยมคนป่วยตามโรงพยาบาล ตนเองเก็บเพียงการ์ดอวยพรไว้เท่านั้น