xs
xsm
sm
md
lg

ศาล-องค์กรอิสระตีปาก “วิลาศ” แนะดูรายละเอียดก่อนจี้ “ประยุทธ์” เลิกหลักสูตรอบรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ภาพจากแฟ้ม)
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แนะอดีต ส.ส. ปชป. ตรวจสอบรายละเอียดก่อนขอยกเลิกหลักสูตรอบรมของศาล - องค์กรอิสระ แนะแยกแยะพฤติกรรมตัวบุคคล เปรียบนักเรียนตีกันต้องปิดอาชีวะทั้งโรงเรียนเลยหรือ ด้านศาลปกครองแจงหลักสูตร บยป. ให้ความรู้เชิงป้องกันไม่ให้คดีเกิด เป็นไปไม่ได้ที่จะมาสร้างเครือข่ายกับตุลาการ ส่วน กกต. ยัน หลักสูตร พตส. เน้นการพัฒนาพรรคการเมืองเป็นสถาบัน ส่วนการสร้างคอนเนกชันเป็นเรื่องจิตสำนึก

วันนี้ (15 ธ.ค.) นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ขอให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ยกเลิกหลักสูตรอบรมขององค์กรอิสระและศาลฯ ว่า ในสังคมเสรีประชาธิปไตยทุกคนก็มีสิทธิที่จะเสนอข้อมูลอะไรก็ได้ ต้องเคารพความเห็นซึ่งกันและกัน จะไปปิดปากไม่ให้พูดก็คงไม่ถูก ซึ่งการที่เสนอมาเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากอยากทราบข้อเท็จจริงที่ถูกที่ควรเป็นอย่างไรก็ให้มาตรวจสอบกันดู เพียงแต่ผู้ที่เสนอความเห็นนั้นต้องระวังในเรื่องการตรวจสอบข้อมูลก่อนให้ละเอียด อย่างกรณีนี้ต้องไปถามคนที่เสนอข้อมูลว่าทำไมไม่บอกหรือเปิดชื่อให้ทราบ ถ้าเป็นตนจะได้ไปชี้แจง แต่ธรรมดาก็ไม่เคยไปบินไปเมืองนอกกับโครงการเหล่านี้ หรือดื่มไวน์เพราะทำลายเงินตรา อย่างไรก็ตาม เห็นว่า มีการศึกษานั้นย่อมดีกว่าที่ไม่ได้เรียน แต่ประเด็นดังกล่าวต้องแยกแยะระหว่างพฤติกรรมตัวบุคคล กับวัตถุประสงค์ของทั้งหลักสูตร ในระหว่างกิจกรรมที่ทำนั้นมีประโยชน์กับบ้านเมืองเพียงพอหรือไม่ และให้ดูที่พฤติกรรมเฉพาะตัวบุคคลว่าเรื่องนี้สามารถแยกแยะกันได้หรือไม่ ถ้าเห็นว่าคุ้มค่ากว่าก็ค่อย ๆ ไปปรับปรุงในส่วนที่บกพร่อง แต่ถ้าเห็นว่าเสียหายมากไม่คุ้มค่าก็ต้องยกเลิกไป อย่าไปวิเคราะห์แบบเหมารวม ยกตัวอย่างเช่น จะให้เราไปปิดโรงเรียนอาชีวะ ทั้งโรงเรียนเพราะนักเรียนบางคนยกพวกตีกันหรือไม่

แหล่งข่าวจากศาลปกครอง กล่าวว่า สำหรับหลักสูตรนักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง หรือ บยป. ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ดำเนินการหลักสูตรมาถึงรุ่นที่ 6 แล้ว อีกทั้ง นายปิยะ ปะทังตา รองประธานศาลปกครองคนที่ 1 ในฐานะรักษาการประธานศาลปกครองสูงสุด ได้มอบหมายให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ประเมินผลว่าการดำเนินการหลักสูตร บยป. ที่ผ่านมานั้นอะไรที่เป็นจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องอย่างไรบ้างเพื่อนำไปปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้ คือ เป็นการให้ความรู้แก่ผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชน ในส่วนของภาครัฐเพื่อที่ผู้บริหารจะได้ความรู้เกี่ยวกับคดีทางปกครองว่ากรณีใดบ้างที่อาจเป็นความผิด หากปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรมแล้วก็เป็นเรื่องยากที่จะมีคดีเข้ามาสู่ศาล โดยจะเป็นการแบ่งเบาภาระการพิจารณาคดีของศาลปกครองได้อีกชั้นหนึ่ง สำหรับภาคเอกชนที่ผู้บริหารได้รับทราบวิธีการทำงานของศาลปกครองแล้วก็จะเปิดช่องทางที่นำไปเผยแพร่ต่อภาคเอกชนรวมทั้งประชาชนทั่วไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าศาลปกครองสามารถอำนวยความยุติธรรมได้อย่างไรบ้าง เพราะเห็นว่าการให้ความรู้คือการป้องกันการกระทำความผิดไม่ให้เกิดขึ้นได้ดีที่สุด หากไม่ทำผิดปฏิบัติหน้าที่อย่างมีธรรมาภิบาล คดีก็คงไม่เกิด

ส่วนการที่บอกว่าหลักสูตรอบรมพิเศษ คือ การสร้างเครือข่ายนั้น สำหรับศาลปกครองเป็นไปไม่ได้ที่จะมาสร้างเครือข่ายกับตุลาการ เพราะการพิจารณาคดีของตุลาการศาลปกครองนั้นจะเป็นรูปแบบองค์คณะ อีกทั้ง คำพิพากษาของศาลปกครองซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผลงานทางวิชาการด้านกฎหมายที่ต้องเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นช่องทางที่ให้สังคมร่วมกันตรวจสอบ การที่คนนอกจะรู้จักตุลาการก็เป็นการรู้จักกันเพียงในหลักสูตร แต่เมื่อถึงตอนพิจารณาคดีจะไม่สามารถมาก้าวล่วงการวินิจฉัยของตุลาการได้ การที่คนพูดจะมองหลักสูตรอบรบเป็นการสร้างเครือข่ายก็คงมองได้ แต่ต้องตั้งคำถามว่าเคยเข้ามาสัมผัสหรือเข้ามาศึกษาแล้วหรือไม่

ด้าน นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิ กกต. กล่าวถึงหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) ของ กกต. ที่ก็ถูกมองว่าเป็นหลักสูตรที่ผู้มาเรียนมุ่งสร้างคอนเน็กชั่นกันว่า หลักสูตรดังกล่าวเป็นแนวความคิดของคณะกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ที่สำนักงาน กกต. กำกับดูแลอยู่ โดยคณะกรรมการกองทุนจะประกอบไปด้วยตัวแทนของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน พรรคที่ไม่มี ส.ส. มีหน้าที่หลักคือการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบัน ซึ่งทางกองทุนฯ เห็นว่า การจัดอบรมหลักสูตร พตส. จะทำให้เกิดการพัฒนาพรรคการเมืองได้ และถ้าไปดูผู้เข้าอบรมก็มีความหลากหลาย ไม่ใช่ เป็นหลักสูตรที่ตั้งขึ้นมาโดยมุ่งหวังที่จะให้ผู้เข้าอบรมไปทำอะไรอย่างนั้น รวมทั้งเห็นว่าการจะสร้างคอนเน็กชั่นของบุคคล เป็นเรื่องของจิตสำนึกของแต่ละคนมากกว่า ก้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ช่องทางการเข้ามาศึกษาอบรมในหลักสูตรต่างๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น