รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุ การโยกย้าย “ปวีณ” ไม่เกี่ยวรัฐบาล อีกทั้งหัวหน้าชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์ คือ “รองเอก” พร้อมเรียกร้องให้กลับประเทศไทย และร้องเรียน พร้อมดูแลให้ ยืนยันจับกุมผู้กระทำความผิดเต็มที่ ด้าน หน.ปชป. ชี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก กลุ่มคนทำผิดยังมีอิทธิพล วอนผู้เกี่ยวข้องแสดงให้เห็นว่ายังเดินหน้าปราบปราม เชื่อรัฐบาลต้องทำงานหนักหลังถูกจับตามอง
วันนี้ (15 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (รอง ผบช.ศชต.) และเป็นชุดพนักงานสอบสวนคดีทลายเครือข่ายค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ขอลี้ภัยไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากการทำคดีค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคใต้ ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และการโยกย้ายต่าง ๆ เป็นเรื่องภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาล อีกทั้ง พล.ต.ต.ปวีณ ไม่ได้เป็นหัวหน้าชุดสอบสวน แต่หัวหน้าชุดคือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ อดีต รอง ผบ.ตร. โดย พล.ต.ต.ปวีณ เป็นเพียงหนึ่งในคณะกรรมการชุดสอบสวน คนอื่นก็อยู่ได้ไม่เห็นเป็นอะไร
เมื่อถามว่า พล.ต.ต.ปวีณ ไม่สบายใจการทำงานในพื้นที่ เนื่องจากถูกคุกคามจากผู้มีอิทธิพล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “จะให้ดูแลอย่างไร ก็เรียกกลับมาซิ นายกฯ ก็บอกแล้วให้กลับมา จะมาร้องเรียนอย่างไรก็ได้ หรือจะทำอย่างไรก็บอกกัน หากอยากส่งข้อมูลมาก็ส่งมาได้เลย เพราะ ผบ.ตร. กำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่ พล.ต.ต.ปวีณ กลับเลย เราจะดูแลให้ หากมีใครมาข่มขู่เราจะดูแลให้ คนระดับ พล.ต.ต. ใครจะมาทำอะไรได้”
เมื่อถามถึงกรณี สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตอนนี้เราจับกุมอย่างเต็มที่ พร้อมสั่งการให้ศูนย์บัญชาการการแก้ไขปัญหาการกระทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมพ.) ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการลงพื้นที่ 22 จังหวัดที่อยู่ชายทะเล ให้เข้าไปจับกุมผู้กระทำผิด สามารถจับกุมได้เยอะ ตอนนี้กำลังดำเนินการสอบสวนต่อไป โดยจะมีการรายงานให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต่อไป รวมไปถึงการตรวจสอบโรงงานแปรรูปอาหารทะเลต่าง ๆ ด้วย เราทำทุกเรื่อง หากพบการกระทำผิดทางเจ้าของอุตสาหกรรมจะต้องรับผิดชอบ เราจะปราบปรามอย่างจริงจัง เรื่องการค้ามนุษย์จะปล่อยไว้ไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายทั้งเรื่องแรงงานและประมง เรามั่นใจว่าจะทำให้ผลประเมินจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2 ให้ได้
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยอมรับว่า ตกใจและติดตามอ่านรายละเอียด และฟังคำให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องคงต้องคิดแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะ พล.ต.ต.ปวีณ ทำคดีสำคัญ ได้รับความสนใจไปทั่วโลก ซึ่งคดีดูมีความคืบหน้าโดยมีการออกหมายจับและเกี่ยวพันกับบุคคลตำแหน่งใหญ่โตพอสมควร แต่กลับมาลาออกจากราชการ และไปไกลถึงขั้นขอลี้ภัย สะท้อนว่าที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัย เสมือนกลุ่มค้ามนุษย์ยังมีอำนาจอิทธิพล ซึ่งไม่เป็นผลดีแน่นอน ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องต้องแสดงให้สังคมและโลกเห็นว่าคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ยังจะเดินหน้าเต็มที่ หากอดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนมีข้อมูลที่ต้องขยายความไปอย่างไร จะอำนวยความสะดวกในการที่จะให้เขาให้ข้อมูลและให้ความคุ้มครองความปลอดภัยได้อย่างไร รวมถึงการปฏิรูปตำรวจเรื่องงานสอบสวนและระบบการโยกย้ายแต่งตั้งที่ต้องมีคุณธรรม
ทั้งนี้ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ในแง่ผลกระทบที่จะตามมาในการประเมินเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย และปัญหาสะท้อนกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ซึ่งโจทย์ของประเทศ คือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการการปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง และกวาดล้างอิทธิพลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้หมด ดังนั้นสิ่งที่ต้องมาพูดกัน คือ การขยายผลเรื่องของคดี หรือทำให้คดีมันส่งผลอย่างที่ต้องการนั้นจะต้องทำอย่างไร โดยควรขอความร่วมมือตรงนี้ ซึ่งตนไม่สบายใจที่มีการตอบโต้ และลดความน่าเชื่อถือตัวบุคคลว่าไม่มีใครเอา เพราะไม่น่าจะเป็นผลดีกับสองฝ่าย เพราะหากแย่จนไม่มีใครเอาแล้วไปตั้งเขาเป็นหัวสอบสวนคดีนี้ทำไม เชื่อว่า ตอนที่แต่งตั้งคงมองว่าเขามีความสามารถที่จะทำได้ ส่วนทำแล้วไปเจออุปสรรคปัญหา หรือกลัวอะไร ก็ต้องมาแลกเปลี่ยนเพื่อให้คดีสัมฤทธิ์ผล
“สิ่งที่ไม่ชัดเจนคือการที่พูดเสมือนว่าไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ แปลว่ามันยังไปไม่สุดหรือไม่ หรือแปลว่าคนที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ยังมีอำนาจ ถึงขั้นหัวหน้าพนักงานสอบสวนจะต้องขอลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่น มันไม่เป็นผลดีกับประเทศแน่นอน จึงต้องจริงจังทำอย่างไรก็ได้ให้คดีเดินถึงที่สุด ส่วนเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายคงทำไม่ได้แล้วเพราะได้ลาออกไปแล้ว แต่ก็เอาข้อมูลมาปรับปรุงให้เกิดความมั่นใจต้องการทำงานต่อไปเพราะเวลามีการประเมินสถานการณ์การค้ามนุษย์หรือเทียร์ ก็คงจะมีการประเมินจากข่าวตามสื่อหรือองค์กรต่าง ๆ ด้วยเพื่อประกอบในการตัดสินการประเมิน เมื่อข่าวนี้ออกไปทั่วโลก เชื่อว่า ไม่พ้นสายตา และจะถูกนำไปเป็นข้อมูลประกอบ รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องต้องทำงานหนักและให้ความมั่นใจว่าข้อมูลเหล่านี้จะมีวิธีการอย่างไร พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความจริงจังต่อการแก้ปัญหาอย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว