นายกฯ เผยประชุมร่วมไทย-กัมพูชา 19 ธ.ค.ถกทุกด้าน เว้นเรื่องเขตแดนโยนหน้าที่เจบีซี เผยจีนจ่อส่งรองนายกฯ คุยรถไฟฟ้า ยันไม่เจรจาโง่ๆ ได้ผลประโยชน์สองฝ่าย รับไม่เที่ยวปีใหม่มา 30 ปี ขอสแตนด์บายดูแล ชี้ใส่รายได้ในบัตร ปชช.ไม่เสียหาย ไว้ช่วยคนจนใช้ขนส่งฟรี คนเหล่านี้ไม่เสียภาษีอยู่แล้ว โชว์พูดอังกฤษ ย้ำภาษาเรื่องสำคัญ รองรับเปิดอาเซียน ฟังล่ามอย่างเดียวไม่ได้
วันนี้ (15 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการประชุม ครม.ร่วมไทย-กัมพูชา ในวันที่ 19 ธ.ค. ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะเดินทางมาด้วยตนเองว่า ได้มีการเตรียมการประชุมในรายละเอียดต่างๆ ซึ่งแต่ละกระทรวงก็มีการประชุมกันแล้ว และเป็นรายละเอียดที่ผู้นำประเทศเคยคุยกันมาก่อน
เมื่อถามว่าจะมีการพูดคุยกันเรื่องแนวชายแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปฏิเสธว่า ไม่พูด แต่จะมีการพูดคุยความร่วมมือในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านพลังงาน เศรษฐกิจ การค้าการลงทุน เอสเอ็มอี การเพิ่มตลาดใหม่ ไม่พูดถึงเรื่องเขตแดน เรื่องที่เป็นปัญหาจะไม่พูดกันเพราะคุยกันแล้วว่าถึงวันนี้เราจะต้องทำให้อาเซียนมีความเข้มแข็ง ทุกประเทศต้องไม่มีความขัดแย้ง ตนได้พูดคุยกับทุกประเทศแล้ว วันนี้อย่าพูดถึงเรื่องเขตแดน เป็นหน้าที่ของเจบีซี แม้จะคุยวันนี้ก็ยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ถ้าต้องใช้อีกร้อยปีก็เจรจาต่อไปได้ เพียงแต่จะทำอย่างไรให้สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวทำประโยชน์ร่วมกันได้ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง และการเดินทางมาเยือนไทยครั้งนี้ของสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่มีการนำนักธุรกิจจากกัมพูชามาด้วยก็ถือเป็นเรื่องดี และไม่เฉพาะจะต้องคุยเรื่องพลังงานเท่านั้น และหากมีการทำกันจริงตนก็ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา ตนไม่ได้เงินกับเขาด้วย เรื่องนี้ถ้าสามารถทำได้ก็ทำกันไป ถ้าทำไม่ได้คือไม่ได้
“การหารือกันครั้งนี้จะเน้นเรื่องความร่วมมือกันทุกๆ ด้าน ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ท่องเที่ยว พลังงาน คงยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ทันที แต่ทุกคนพูดคุยกันด้วยหลักการ เมื่อเห็นชอบร่วมกันค่อยไปเดินต่อเรื่องกระบวนการ เรื่องไหนที่ต้องทำก็ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.อีกครั้ง ไม่ใช่จะไปตกลงแล้วตกปากรับคำเลย เพราะผมไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ ไม่ใช่บ้านผม ถ้าเป็นบ้านผม ผมจะทำแบบนั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าไทย-จีนว่า รองนายกรัฐมนตรีของจีนจะเดินทางมาเร็วๆ นี้ ซึ่งตนได้พูดคุยกับเอกอัครราชทูตจีนไปแล้วว่าความร่วมมือมี 3 ระดับ ทั้งเรื่องราง การเดินรถ และผลประโยชน์ข้างทาง ซึ่งจะมีการร่วมลงทุนกัน กี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันมา
เมื่อถามว่า กรอบที่จะพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีจีนมีอะไรบ้าง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนได้ให้แนวทางกับรองนายกรัฐมนตรีของเราไปแล้ว โดยขอให้ไปเคลียร์กันให้จบทั้งเรื่องเงิน เรื่องทุนที่จะต้องลงทุนร่วมกันจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ให้ไทยออกเพียงฝ่ายเดียว นอกจากนี้ก็ต้องคุยถึงเรื่องผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น จะทำอย่างไรเพื่อมาชดเชยงบลงทุนก็ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน จึงต้องยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐหรือพีพีพี รวมทั้งเป็นเรื่องของรัฐบาลต่อรัฐบาลด้วย ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็เหมือนกับไทย-ญี่ปุ่น แต่ที่ผ่านมาอาจไม่เข้าใจกันทำให้เกิดความล่าช้า วันนี้จึงต้องเริ่มจากหลักการก่อนว่าจะลงทุนแบบไหน มีตัวเลขอย่างไร อย่าลืมว่าต้นทุนของเรามีทั้งเรื่องที่ดิน รางรถไฟก็ต้องคิดมูลค่าออกมา ระยะต่อมาเรื่องการประกอบการเรื่องรถ และการบริหารจัดการในอนาคต ซึ่งต้องเตรียมบุคลากรและกฎหมายไว้ด้วย เราจะไปเจรจาโง่ๆ ไม่ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ที่จะถึงนี้ว่า สำหรับตนไม่ไปเที่ยวไหน “ผมไม่เคยเที่ยวมา 30 ปีแล้ว ไม่เคยไปไหนเลย ปีนี้ก็ไม่คิดจะไปไหนด้วย ผมจะนั่งดูแลเป็นกำลังใจและสแตนด์บายว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่าแล้วคอยแก้ปัญหาให้ทุกคนมีความสุขไม่ดีกว่าหรือ”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีแนวคิดการระบุอาชีพและรายได้ไว้ในบัตรประชาชนว่า “ไอ้เรื่องบัตรที่พูด ผมก็พูดเร็วไปด้วย บางทีก็ไม่เข้าใจ มันจะมีใครเอาข้อมูลไปลงบัตรได้เยอะแยะขนาดนั้น มีคนเขียนมาในโซเชียลฯ ว่าในบัตรเขียนชื่อ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ทำนองนี้ อาชีพ นักฆ่ามหาประลัย รายได้ สามสิบหลัก ปัดโธ่ อะไรของมัน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะเนี่ย มันกลายเป็นเรื่องตลกไปหมด แล้วก็หาว่าผมคิดโง่ๆ ก็รู้หรือไม่ว่าข้อมูลคนมีรายได้เป็นยังไง รายได้ไม่ได้เอามาโชว์ มันอยู่ในแถบแม่เหล็ก ในชิป ถ้าใส่ในบัตรประชาชนไม่ได้ ก็หาบัตรอื่นมาอีกใบ บางคนถือบัตรเครดิตหลายใบอยู่แล้ว ก็มีอีกใบ ขึ้นรถเมล์ก็เอาไปเสียบที่เครื่องอ่านถึงจะขึ้นได้ หรือจะไปรถไฟฟ้าวันหน้า คนจนจะขึ้นไหวหรือ รัฐบาลก็ต้องดูแล ไม่งั้นคนจนก็ไม่มีสิทธิ์ขึ้น มันต้องคิดแบบนี้ ไม่ใช่เอามาตีแผ่ว่าคนนี้รายได้เท่าไหร่”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า บางคนบอกว่าอย่างนี้ก็เปลี่ยนอาชีพไม่ได้ ทำไมคิดแบบนี้ได้นะคนไทย ถ้าจะเปลี่ยนก็ไปแจ้งเปลี่ยนเหมือนทำบัตรประชาชนหาย ไปทำใหม่ ข้อมูลก็อยู่ในเครื่องเหมือนกับในอดีต เรื่องข้อมูลความจำเป็นพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ แต่มันไม่สมบูรณ์ ไม่ชัดเจน ต้องให้เจ้าตัวมาแจ้งด้วยตัวเอง
“สมมติว่ามีกำหนดรายได้ขั้นต่ำในการเสียภาษีปีละ 150,000 บาท แล้วเธอจะแจ้งเมื่อไหร่ เขาก็ยังไม่ได้ตรวจ อีกอย่างชื่อคนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี เข้าใจหรือไม่ คนพวกนี้จะไม่มีชื่อในระบบภาษีเลย แต่เราต้องใช้เงินสนับสนุนเขาตลอดเวลา สู้เราทำให้ชัดเจน มีจำนวนเท่าไหร่แน่นอน อาชีพอะไร รายได้เท่าไหร่ ซึ่งเมื่อทำก็ไม่เสียภาษีเหมือนเดิม แล้วมันจะเสียหายตรงไหน แต่ท่านสามารถเอาบัตรนี้ไปขึ้นรถไฟฟรี รถเมล์ฟรีได้ ไม่ใช่ใครก็ขึ้นได้ ทุกวันนี้ปรากฏว่าคนจนขึ้นไม่ได้ เพราะคนรวยขึ้นไปหมดแล้ว บางคนรายได้เกิน ที่ผมต้องการคือทำให้คนเหล่านี้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ นั่นคือเจตนารมณ์ของผม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อถึงกรณีการส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้ภาษาอังกฤษพื้นฐาน โดย พล.อ.ประยุทธ์พูดภาษาอังกฤษในสำเนียงตนเองว่า อย่างคำว่า “ฮาวอาร์ยู, กู๊ดมอร์นิ่ง, กู๊ด อาฟเตอร์นูน, แอมไฟน์ แทงกิ้ว, โก สเตท อะเฮด แอนด์ เทิร์น ทู เดอะ เลฟต์, วันฮันเดรดสเต็ป แค่นี้พูดได้หรือไม่ มันต้องได้สิเพราะจบปริญญากันหมด ที่ไม่กล้าพูดเพราะอาย ฝรั่งมาเขาถามก็ไม่ตอบ ยิ้มอย่างเดียว ยิ้มสยามตลอด มันต้องพูดด้วย จะจีน จะญี่ปุ่น แต่คงไม่ต้องถึงขนาดเขาถามอังกฤษมาแล้วตอบเป็นจีน ต้องเรียนรู้ ภาษากลางคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เกาหลีที่ฮิตๆ กันอยู่ โรงงานก็เป็นโรงงานเหล่านี้”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หนึ่งคือภาษาอังกฤษเพื่อประชาชนในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในการเปิดอาเซียน ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่หนีฝรั่ง แนะนำตำรวจอยู่ไหน ไปแจ้งใคร ลุงป้าน้าอา คนเฒ่าคนแก่ พูดกู๊ดมอร์นิ่ง วันนี้การจัดระดับภาษาอังกฤษที่มีถึง 70-80 ประเทศ ตนจำได้ว่าเราอยู่ในระดับที่ 9 จากท้าย น่าภูมิใจหรือไม่ เราต้องดูว่าเราสอนกันยังไง ได้กำหนดหรือไม่ว่าพื้นฐานต้องเริ่มจากอะไร ถ้าคนทั่วไปเอาแค่ทักทาย จบ แล้ววันหน้าเข้าก็สนใจอยากพูดต่อเอง เพราะต้องไปประกอบอาชีพ ที่ตนแบ่งไว้คือ ภาษาอังกฤษสำหรับการประกอบการธุรกิจพื้นฐาน เช่นคนที่เปิดร้านเอาไว้ขายของได้ อ่านภาษาอังกฤษเป็น ให้กรอกข้อมูลอะไรให้รู้เรื่อง เพราะมันเป็นมาตรฐาน ต่อมาคือภาษาอังกฤษสำหรับแรงงาน โรงงานเขาเปิดรับอยู่แล้วตอนนี้ แต่ที่ต้องให้เรียนรู้ เพื่อจะให้คนเหล่านี้เป็นหัวหน้างาน และสิ่งสำคัญคือภาษาอังกฤษต้องอยู่ในระบบการศึกษาทั้งหมด ไอ้ที่เรียนก็เอาสอบกัน แต่พอมันยากเกินไป เน้นเรื่องไวยกรณ์เกินไป ทำให้คนไม่กล้าพูด กลัวจะผิดหลักไวยากรณ์ ตนก็ถูกสอนมาอย่างนี้เช่นกัน พูดไม่ได้หรอกแต่ตนกล้าหน่อย พูดผิดพูดถูกมันก็เข้าใจอยู่แล้ว อย่างน้อยก็มีท่าทาง เมื่อยมือหน่อยก็เอา แต่พยายามฟังให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นจะพลาด
“เพราะเป็นนายกฯ มันออกท่าทางอะไรไม่ได้ โต้ตอบความคิดด้วยความคิดตนเองไม่ได้ ต้องระวังภาษาอังกฤษ แต่ก็มีล่ามแปลอยู่แล้ว ข้อสำคัญคือพอฟังล่ามพูดไม่รู้ว่าตรงหรือเปล่า ไม่ใช่จะปล่อยล่ามให้พูดอย่างเดียว มันไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว