นายกรัฐมนตรีปฏิเสธตอบคำถามความขัดแย้ง “อุดมเดช-ไพบูลย์” ปมอุทยานราชภักดิ์ ชี้ปล่อยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ด้านรองนายกรัฐมนตรีระบุกองทัพบกขอเรี่ยไร หรือรับบริจาค เข้าข่ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ใช่โทษอาญา เป็นเรื่องทางวินัย
วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 16.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมต.ยุติธรรม ในประเด็นปัญหาโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยกล่าวว่าตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้เขาสอบกัน
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าไม่ได้ห้ามทั้งสองคนออกมาพูดอีกใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ฉันห้ามเธอพูดมากกว่า”
อีกด้านหนึ่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าเงินบริจาคโครงการอุทยานราชภักดิ์ กองทัพบกไม่ได้ขออนุญาตตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า เคยพูดแล้วว่าเงินบริจาคกับการเรี่ยไรต่างกัน เป็นการพูดในหลักการ แต่เวลาทำจริงๆ เขาทำกันอย่างไรตนไม่ทราบ รู้สึกว่าตอนหลังจะมีการรับบริจาคซึ่งทางมูลนิธิทำหรือกองทัพบกทำ ตนไม่ทราบ
เมื่อถามว่า การบริจาคกับการเรี่ยไรต่างกันอย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า นึกไม่ออก ขอกลับไปค้นก่อน เมื่อถามย้ำว่า หากกองทัพบกขอเรี่ยไรหรือรับบริจาคจะเข้าข่ายต้องขออนุญาตหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เข้าข่ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และเมื่อถามอีกว่าหากไม่ขออนุญาตตามระเบียบจะเป็นความผิดทางวินัยใช่หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ใช่โทษอาญา เพราะตรงนี้เป็นแค่ระเบียบ ไม่ใช่พระราชบัญญัติ ไม่มีโทษในตัวมันเอง แต่เป็นเรื่องทางวินัย
นายวิษณุกล่าวว่า สำหรับทางออกเรื่องนี้ มันต้องรู้ต้นสายปลายเหตุก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เรารู้อาการของโรค แต่ต้นเหตุของโรคเรายังไม่รู้ ต้องรอคณะกรรมการสอบก่อน จากนั้นจะขยายผลอย่างไรก็ว่ากันไป หรือหากเราไม่เชื่อผลนั้นจะไปหาองค์กรอื่นมาทำใหม่ก็ได้ แต่ตอนนี้ต้องรอก่อน