อดีต คตส.เปรียบปมอุทยานราชภักดิ์ เหมือน ทบ.รับกฐินทอดที่วัด ต้องโปร่งใส ไม่เกี่ยวรัฐบาล-เงินราชการ เงินรั่วไม่ผิดอาญา ชี้เงินบริจาคไม่ควรจ่ายค่าหัวคิวการหล่อ “บิ๊กโด่ง” จัดการเอาเงินคืนถูกแล้ว คนนอกเอาผิดไม่ได้แต่ข้าราชการต้องโดน ติงไม่สอบจริงจังให้จบ อ้างเขตทหารห้ามเข้าไม่ได้
วันนี้ (25 พ.ย.) นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงปัญหาอุทยานราชภักดิ์ว่า เปรียบเหมือนกับกองทัพบกรับกฐินพระราชทานมาหนึ่งกองมาทอดที่วัดราชภักดิ์ เลยตั้งคณะกรรมการกองกฐินขึ้นระดมเงินบริจาค มี ผบ.ทบ.เป็นประธาน ด้วยกรอบคิดอย่างนี้งานนี้จึงไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เงินที่ได้และการใช้จ่ายก็ไม่ใช่เงินราชการ เป็นความรับผิดชอบของคณะกรรมการกองกฐินที่จะต้องจัดการให้โปร่งใส ด้วยวิธี ด้วยดุลพินิจที่สมควร หากเกิดปัญหาเงินรั่วไหลก็ไม่ผิดอาญา ประชาชนหรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปเกี่ยวข้องได้ แต่หากเป็นข้าราชการก็ต้องโดนวินัยฐานประพฤติชั่วได้
ส่วนการดำเนินการเป็นงานด่วนและโรงหล่อก็มีไม่กี่โรง ต้องแบ่งกันไปทำ ให้ราคาตามความยากง่าย เจรจากันเป็นรายๆ ไป สามารถทำได้เพราะเป็นงานที่ไม่อยู่ในบังคับตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ เข้าใจว่าต้องมีคณะอนุกรรมการรับงานตรงนี้โดยเฉพาะและน่าจะมีคนในวงการหล่อพระมาช่วยติดต่อเจรจาด้วย แต่เมื่อเป็นเงินบริจาคไม่ควรมีการจ่ายค่าหัวคิว หรือไม่มีใครควรได้ เพราะทำเพื่อเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ของชาติไทย การที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม บอกว่าได้จัดการให้ผู้รับคืนเงินกลับมาเข้ากองทุนก็ถูกต้องแล้ว
“หากคนรับเป็นเซียนพระที่มาช่วยงานก็เอาผิดอะไรเขาไม่ได้ มันเป็นเงินที่ไม่ควรเรียก ไม่ควรรับ เท่านั้นเอง แต่ถ้าคนรับเป็นข้าราชการก็ต้องโดนทางวินัยไล่ออกฐานประพฤติชั่ว ซึ่งน่าเสียดายที่ทางกองทัพไม่ตรวจสอบให้จริงจังจบๆ ไป เลยเป็นเป้านิ่งโดนโจมตีอยู่ทุกวันแบบนี้ เรื่องอย่างนี้จะคิดว่า “เขตทหารห้ามเข้า” ไม่ได้ เมื่อมาระดมเงินบริจาคจากสังคมก็ต้องเปิดรั้ว ต้องรับผิดชอบตรวจสอบแล้วชี้แจงให้สังคมหมดข้อสงสัยด้วย” นายแก้วสรรกล่าว