“ประยุทธ์” เผยสัปดาห์หน้าทุกกระทรวงแจ้งของขวัญปีใหม่ ปชช. ย้อนสื่อจดชื่อ รมต.ที่อยากให้ปรับ จี้ “ปวีณ” กลับไทยแจ้งความใครขู่ ใหญ่แค่ไหนพร้อมจัดการ ติงพูดให้ตัวเองทำร้ายชาติ สวนสื่อไม่อยากแก้ค้ามนุษย์ก็ประโคมข่าวต่อ แนะร้องทุกข์อย่าโฆษณาตามสื่อ ชี้ ขรก.ทำไม่ได้หวังตอบแทน ยันสั่งจับแรงงานทาสเอง บ่นทำอะไรก็ถูกบิดเบือน กะแล้วสื่อถามเรื่องรถ แจงเบนซ์คู่ใจเสีย
วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงคลองบางไผ่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานทดสอบเดินรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ว่าในสัปดาห์หน้าทุกกระทรวงจะต้องแจ้งให้ทราบว่าจะต้องมีของขวัญปีใหม่อะไรให้ประชาชนซึ่งจะเป็นของขวัญที่ให้แล้วประชาชนมีความสุข ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่จะจับนู่นจับนี่ แต่ต้องมีสองอย่างในกฎหมายคือทำอะไรแล้วเป็นความผิด เมื่อเป็นความผิดแล้วเจ้าหน้าที่ต้องทำอย่างไร ประชาชนต้องทำอย่างไร มันต้องเขียนให้ครบไม่อย่างนั้นจะโดนอยู่ข้างเดียวแบบนี้ โดนตำหนิอยู่เรื่อย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีในต้นปี 2559 ซึ่งมีข่าวจะปรับในตำแหน่ง รมว.คมนาคม โดย พล.อ.ประยุทธ์ตอบสั้นๆ ว่า ใครถาม ให้รัฐมนตรีจดชื่อคนนั้นไว้ เพราะมีนักข่าวอยากให้ปรับ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 และอดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลียเพราะเกรงอันตรายจากขบวนการค้ามนุษย์ว่า “ทำไม ก็กลับมาสิ กลับมา มาบอก มาแจ้งความแล้วจะจับให้ ใครไปขู่ ขู่จริงหรือเปล่า แล้วทำไมต้องไปพูดอย่างนั้น จะผิดจะถูกผมไม่รู้แต่ต้องตรวจสอบก่อน แต่ประเด็นของผมก็คือ มีความรักชาติเหลือหรือไม่ ที่เกิดมาบนแผ่นดินนี้ แต่ทำตัวเป็นคนบางประเภทไปได้ ผมไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกับใครเขาเลย ทางตำรวจก็กำลังตรวจสอบอยู่ เรียกตัวกลับมาสิ บอกมาเลยใครขู่ ตัวจะใหญ่แค่ไหนก็จะจับลงโทษให้หมด เพราะผมเป็นคนสั่งให้จับ แต่ถ้าสั่งให้จับแล้วใครคนนั้นต้องโตทันทีผมไม่ให้”
ผู้สื่อข่าวถามว่าการออกมาพูดของ พล.ต.ต.ปวีณ จะมีผลต่อการพิจารณารายงานด้านการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ (เทียร์) หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “คนคนเดียวนะ เธอก็ช่วยฉันพูดสิ หรือเธอจะช่วยเขาทำร้ายประเทศอยู่แบบนี้ ฉันพูดให้คนทั้งประเทศ แต่อีกคนพูดให้ตัวเองก็ไปเลือกเอาว่าจะช่วยใคร”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับสื่อฯ นั้นถามว่าอยากแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์หรือไม่ ถ้าไม่อยากแก้ก็ประโคมข่าวกันต่อไป ตนแก้ไข แต่ต้องไปบอกคนก่อนที่ไม่ทำ ข้าราชการทุกคนเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน กินเงินเดือน ไม่ได้ทำเพื่อหวังประโยชน์ตอบแทน ไม่ใช่เป็นรองแล้วต้องขึ้นเป็น ผบ. ถ้าโตแล้วทำความผิดก็ต้องโดนอีก ประเทศต้องอยู่อย่างนี้ อยู่ด้วยกฎหมายและวิธีการ แต่ไม่อยากให้ทุกคนตัดสินก่อนกระบวนการยุติธรรม ที่มันตีกันอยู่แบบนี้เพราะได้รับการปลูกฝังมาเป็น 10 ปี แล้วทะเลาะกันเพราะคนไม่กี่คน ตีกันไปตีกันมากฏหมายก็ใช้ไม่ได้ ข้าราชการก็เสียหาย คนก็ไม่อยากจะทำอะไร เพราะทำแล้วก็ถูกตำหนิ โดนว่า วันนี้เปิดโอกาสให้สื่อ เดี๋ยวก็มีการตีกันอีก ต้องพูดอะไรที่มันเสียหาย
“ผมไม่เคยเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับใดที่เขียนว่านี่เป็นวันมงคลแล้วเราจะร่วมมืออย่างไร มีแต่ไอ้ปวีณบ้าง เยอะแยะ มีอยู่แค่นี้ ตกลงประเทศไทยติดกับอยู่กับคน 4-5 คนนี้หรือ แล้วคนเยอะแยะที่ทำงานอยู่ล่ะ ทั้งนี้ไม่ว่าจะคดีไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน คดีก็คือคดี ถ้ายังปล่อยเหมือนเดิมระวังเดี๋ยวจะโดนหมิ่นประมาท เดี๋ยวเขาคงเล่นงานกันเอง คือพูดส่งเดช ไปบอกเจ้าหน้าที่เขาสิ ร้องทุกข์กล่าวโทษทำเป็นไหม หรือต้องออกมาพูดโฆษณาตามหนังสือพิมพ์ หรือไม่ก็ขยายออกไปเรื่อย ปัญหาก็จะเกิดขึ้น ประเทศไทยก็แก้ไม่ได้ ต่างชาติก็เล่นงาน ถามว่าได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง หรือว่าดีใจที่ได้ทำรายประเทศกัน แต่ผมไม่ได้ดีใจกับท่าน งานผมเยอะแยะ ลดภาระให้ผมบ้าง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่ามีการจับกุมแรงงานทาสในภาคประมงของไทย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็เขากำลังดำเนินการอยู่ โดยคนไทยเป็นผู้จับ ไม่ใช่ต่างประเทศเป็นคนจับ ผมเป็นคนสั่งจับเองจับทุกคน ใครไม่จับก็จะถูกเล่นงาน ที่จับมาก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว ถ้าไม่ทำผมจะเล่นงาน แต่ไม่ใช่ว่าทำเพื่อจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เพราะทุกคนมีหน้าที่ ทั้งทหารและตำรวจ ถ้าไม่ทำหน้าที่ของตัวเองถือว่ามีความผิด การทำผลงานมาก็อยู่ที่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา ไม่ใช่ว่าทำอย่าง ต้องโตอย่าง เพราะผมไม่เคยคิดอย่างนั้น อย่าไปขยายความ ผมไม่ได้ปิดบังอะไรเลย ซึ่งพยายามที่จะเข้มงวดทุกอย่าง ถามว่าคนในกระบวนการทั้งหมดคิดแบบที่ผมคิดหรือไม่ แม้ฝ่ายกฎหมายของ คสช.ก็ยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำอะไรเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน และได้ประโยชน์สูงสุดจากกฎหมายที่ออกไป แต่ก็ถูกบิดเบือนไปทั้งหมด”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนรถที่ใช้ในการเดินทางจากเดิมที่ใช้รถเบนซ์ประจำตำแหน่ง เลขทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร เปลี่ยนเป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 ทะเบียน ฎน 2498 กรุงเทพมหานคร
โดยนายกฯ กล่าวว่า รถที่เคยใช้ประจำเสีย นึกอยู่แล้วว่าสื่อต้องถามเรื่องนี้ และรถคันนี้ตนแจ้งทรัพย์สินหรือเปล่า การเปลี่ยนรถครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะมีการข่าวอะไร หรือใครจะดูเลขก็ไปดู จะได้เจ๊งกันเยอะๆ รถมันเสีย แล้วรถเสียจะนั่งมาถึงที่ทำงานไหม
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข่าวแจ้งเตือนอะไรมาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ห่วงกันเรื่องแบบนี้หรือ แต่ตนก็เข้าใจการทำงานของสื่อ และพยายามจะไม่พูด แต่สื่อก็ให้พูด เพราะถ้าไม่พูดก็ไม่เข้าใจ แล้วก็ไปเขียนกันเองอีก แต่พอพูดเสร็จก็เอาสิ่งที่ตนพูดไปขยายต่อ แทนที่จะจบก็ไม่จบ