xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวร้ายนั่งไม่ติด ดีเอสไอสอบ “พานทองแท้” พันคดีฟอกเงินกู้กรุงไทย!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา


การให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเปิดเผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนในคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย ว่าเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขอสอบปากคำการจองซื้อหุ้นสำคัญเพิ่มของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2547 เนื่องจากพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าว พบว่ามีจำนวนเงินที่นำออกไปซื้อหุ้นเพิ่ม ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการประสานขอเข้าให้ปากคำแก่พนักงานสืบสวนสอบสวน

ที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลของ พ.ต.ท.สมบูรณ์ ที่บอกว่า คณะทำงานได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กรณีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้บริษัท อาร์เคโปรเฟสชั่นแนล จำกัด (เครือกฤษดามหานคร) 500 ล้านบาท จะเชิญบุคคลเข้ามาให้ปากคำจำนวน 32 คน ซึ่งในส่วนนี้ไม่มีเครือข่ายนักการเมือง แต่เป็นบุคคลที่ปรากฏหลักฐานว่ารับเงินจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ 2. กรณีธนาคากรุงไทยปล่อยกู้บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (เครือกฤษดามหานคร) 9.9 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้จะมีชื่อของเครือข่ายการเมือง อาทิ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค ลูกชาย ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี เพื่อตรวจสอบดูว่ามีการนำเงินทั้งสองจำนวนนี้ออกไปให้ใครบ้าง และจะเรียกผู้ที่ปรากฏรายชื่อเข้ามาสอบปากคำต่อไป ทั้งนี้ ในกลุ่ม 500 ล้านบาทนั้น ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งข้อมูลมายังตนบ้างแล้ว ซึ่งในวันที่ 3 ธันวาคมนี้จะทำหนังสือเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในจำนวนเงินดังกล่าว 32 คน มาสอบปากคำ ทั้งนี้ การสอบปากคำดังกล่าวเบื้องต้นเป็นการสอบปากคำในฐานะพยาน

แน่นอนว่านี่คือ “ข่าวร้าย” สำหรับครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร เพราะแม้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคดีที่รู้จักกันในกรณีที่เกี่ยวกับ “เงินกู้ธนาคารกรุงไทย” เกือบหมื่นล้านบาทที่ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนกันยายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีการตัดสินจำคุกอดีตผู้บริหารของธนาคารกรุงไทยกันไปแล้วหลายคน ตั้งแต่ 12-18 ปี และมีเพียงจำเลยที่ 1 คือ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น ที่ถูกจำหน่ายคดีออกไปชั่วคราว เนื่องจากหลบหนีอยู่ต่างประเทศ

สำหรับคดีดังกล่าวยืดเยื้อยาวนานตั้งแต่ปี 2547 เมื่อครั้งที่มีคณะกรรมการสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียที่เกิดขึ้นแก่รัฐ หรือ คตส. จนต่อมาเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนกระทั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพิ่งจะมีการตัดสินจำคุกผู้ที่ทำผิดที่เป็นจำเลยที่ 2 ลงไปหลายคนเมื่อปลายเดือนกันยายนดัวกล่าว

แต่ที่น่าจับตาก็คือ ผลจากคำพิพากษาคดีที่ระบุว่าการกู้เงินของธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ “มิชอบ” ก็ทำให้เกิดการแตกตัวตามมาอีกหลายคดี อย่างน้อยมีคดี “ฟอกเงิน” ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับมาพิจารณาดำเนินการต่อ โดยขอความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน จนทำให้พบว่า เงินจำนวน 1,600 ล้านบาท หลังจากมีการกู้เงินจากธนาคารกรุงไทยถูกโอนไปในชื่อพนักงานจำนวนหนึ่งของ “บริษัท ฮาวคัม” ที่มี พานทองแท้ ชินวัตร เป็นเจ้าของ

การให้ข้อมูลล่าสุดของ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนพิเศษ ถือว่ามีความคืบหน้าไปจากเดิม นั่นคือ ในกระบวนการสอบสวนย่อมต้องมีการเรียกสอบปากคำตามพยานหลักฐานและตามเส้นทางการเงินตามที่มีการตรวจสอบพบเจอ และคงต้องมีอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็พอมองเห็นภาพแล้วว่าการดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวที่อยู่ในความสงสัยของชาวบ้านมานานหลายปีจะถูกนำขึ้นมาสะสางอย่างจริงจังเสียที หลังจากถูกยื้อถูกปกปิดมานาน

หากพิจารณาตามเส้นทางการสอบสวนของกรมสอบสวนพิเศษที่รับคดีเข้ามาดูแล แม้ว่าจะไม่มีเรื่องของ “คดีฟอกเงิน” ที่ก่อนหน้านี้ในยุคที่ยังเป็นคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินที่ก่อให้ความเสียหายแก่รัฐ (คสต.) เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่จากการเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยเฉพาะจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมไปถึงข้อมูลการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทในเครือของกฤษดามหานคร จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มธุรกิจของ วิชัย กฤตดาธานนท์ ลักษณะก็เหมือนกับการ “ตีโอบ” เข้าไปเพื่อเข้าใกล้ตัว “บุคคลสำคัญ” มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

ดังนั้น การที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังไล่สอบปากคำบุคคลที่มีรายชื่อที่มีส่วนในการซื้อหรือรับโอนเงินในหลายคดี ในประเภทที่เรียกว่า “เลาะตะเข็บ” ตามเส้นทางการเงินไปเรื่อยๆ ซึ่งเชื่อว่าวิธีการแบบนี้อีกไม่นานก็คงจะได้เห็น “ไอ้โม่ง” คนสำคัญที่ถูกเก็บซ่อนปกปิดมานาน และเชื่อว่าคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยนี่แหละที่เป็นอีกคดีหนึ่งที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร นั่งไม่ติด เพราะรับรองว่า “ยิ่งสาวก็ยิ่งโยงใย” และที่สำคัญก็คือ “ยิ่งใกล้ตัว” !!
กำลังโหลดความคิดเห็น