คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประชุมนัดแรกหลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ถกกรณีโอเอชซีเอชอาร์ ทบทวนสถานะจากเอ เหลือ บี มีมติออกหนังสือคัดค้าน ระบุ พยายามดำเนินการอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ให้สอดคล้องกับหลักการปารีส แต่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญยังไม่เสร็จ เตรียมที่จะจัดทำข้อเสนอต่อ กรธ. เพื่อปรับปรุงกฎหมาย
วันนี้ (1 ธ.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชุดใหม่ ซึ่งมี นายวัส ติงสมิตร เป็นประธาน ได้มีการประชุมครั้งแรก หลังจากที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยในการประชุมได้พิจารณากรณีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) ได้แจ้งผลการทบทวนสถานะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล หรือ ไอซี ว่า คณะอนุกรรมการประเมินสถานะ ภายใต้คณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศว่าด้วยสถาบันแห่งชาติในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ได้มีข้อมติเสนอให้ลดระดับ กสม. จากสถานะ เอ เป็นสถานะ บี พร้อมกับมีข้อกังวลในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ กระบวนการสรรหาและแต่งตั้ง กสม. ภูมิคุ้มกัน และความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ กสม. การรายงานสถานการณ์ทางด้านสิทธิมนุษยชนที่ทันต่อเหตุการณ์
โดย กสม. มีเวลา 28 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับทราบข้อมติของคณะอนุกรรมการประเมินสถานะ ในการคัดค้านข้อมติของคณะอนุกรรมการประเมินสถานะดังกล่าว พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งที่ประชุม กสม. พิจารณาแล้ว มีมติให้มีหนังสือคัดค้านข้อมติของคณะอนุกรรมการประเมินสถานะ โดยจะชี้แจงเหตุผลว่า ที่ผ่านมา กสม. ได้พยายามดำเนินการอย่างเต็มที่และต่อเนื่องในการรณรงค์ให้มีการปรับปรุงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมายจัดตั้ง กสม. ให้สอดคล้องกับหลักการปารีส
อย่างไรก็ตาม กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่เสร็จสิ้น และขณะนี้ กสม. ชุดใหม่ เพิ่งเข้ารับหน้าที่ และได้เตรียมที่จะจัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมายในประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลของคณะอนุกรรมการประเมินสถานะ เกี่ยวกับกระบวนการสรรหา กสม. และการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของ กสม. ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ส่วนในประเด็นเรื่องความล่าช้าในการจัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศนั้น กสม. ชุดใหม่จะนำข้อคิดเห็นของคณะอนุกรรมการประเมินสถานะมาพิจารณาปรับปรุงกระบวนการทำงานของ กสม. เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป