xs
xsm
sm
md
lg

“ฤาษีตู่” ถือศีลลดละโมหะ ปรับโหมดโผงผางใช้ “สารจากใจ”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ป้อมพระสุเมรุ



เข้าสัปดาห์นี้มา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูสุขุมนุ่มลึกขึ้น โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ลูกโฉ่งฉ่างอันเป็นอัตลักษณ์ประจำตัวดูเพลาๆ ไปพอให้รู้สึกกันบ้าง

คำพูดคำจาดูจะระมัดระวัง ไม่โผงผาง ถึงลูกถึงคน ผิดแปลกจากเดิมที่ชอบลับฝีปากกับนักข่าวเป็นชีวิตจิตใจ ชนิดไม่ได้ปะทะคารมแทบจะนอนไม่หลับ

มาดแปลกๆ เกิดขึ้นหลัง “บิ๊กตู่” ใช้ยุทธวิธีสื่อสารกับประชาชนแบบใหม่ที่เรียกว่า “สารจากใจ” ของนายกฯ ซึ่งมอบหมายให้ “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาถ่ายทอดความรู้สึกผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจมา 2 ครั้งติดๆ กัน

สารฉบับแรกเกิดขึ้นให้หลัง “รายการคืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันศุกร์ที่แล้วเพียง 1 วัน สาระสำคัญพูดถึงประเด็นที่สังคมให้ความสนใจในขณะนั้น คือ เรื่องร่างรัฐธรรมนูญหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้ง 21 อรหันต์ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีอ๋องกฎหมายอย่าง “มีชัย ฤชุพันธุ์” เป็นประธาน และเรื่องงานปฏิรูปที่ “บิ๊กตู่” คลอด 200 สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปเทศ (สปท.)

เป็นการออกมาสื่อสารทางตรง หลังสังคมชั่วโมงนั้น โดยเฉพาะนักการเมืองกำลังเริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวทางการร่างรัฐธรรมนูญภายใต้อุ้งมือของ “มีชัย” กันสนุกมือ เพื่อปลุกกระแสต่อต้านหรือไม่ยอมรับ ขณะเดียวกัน สมาชิกสปท.บางคน ที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ก็เริ่มเปิดซิงขายฝันกันสนุก อย่างสปท. สายเสื้อแดง “สมพงษ์ สระกวี” ที่ออกมาตีขลุม เสนอไอเดียนิรโทษกรรมเผาบ้านเผาเมือง จนเป็นข่าวใหญ่โตกันไปวันสองวัน
              
   “บิ๊กตู่” เลยสบช่องทางนี้ชี้แจงกับประชาชนผ่านสารที่ไปเรียบเรียงมากอย่างละเอียด

ขณะที่สารฉบับที่สองเกิดขึ้นหลังจากฉบับแรกผ่านไป 1 วันเท่านั้น โดยในเย็นวันจันทร์หลังเคารพธงชาติ “เสธ.ไก่อู” โผล่ออกมาหน้าจอทีวีอีกครั้ง พร้อมกับสารจากใจ “บิ๊กตู่” โดยสาระสำคัญยังเป็นเรื่องที่สังคมให้ความน่าสนใจนั่นคือ กรณีคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่มีพล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ เป็นประธาน เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แล้วพบว่า ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์

กับอีกกรณีร้อนฉ่าคือ “ศึกพยัคฆ์” รอยร้าวระหว่างเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่าง “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนเก่ากับ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ที่แนวทางหลายอย่างไม่ตรงกันจนมีกลิ่นโชยออกมาจากองบัญชาการทหารบก (บก.ทบ.) หนักขึ้นถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ต้องออกมาสงบศึก ทำให้เข้าทางฝ่ายต้านกระโดดเสี้ยมกันสนุกมือ

“บิ๊กตู่” เลยต้องใช้วิธีสื่อสารกับประชาชนโดยตรงอีกครั้งเพื่อชี้แจงกลบกระแสข่าวดังกล่าวก่อนจะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้

สารสองรอบของ “บิ๊กตู่” ถูกใช้เป็นเวทีเคลียร์ประเด็นที่เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ เสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นอาจเป็นการสะท้อนว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการรับมือกับสงครามข่าวสารใหม่

แม้ “บิ๊กตู่” จะมีเวทีได้ชี้แจงเรื่องต่างๆ ผ่านสื่อสารมวลชน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ผ่านการให้สัมภาษณ์ประจำวัน หรือกาปาฐกถาพิเศษบนเวทีต่างๆ ที่ไปเปิดงาน ยังไม่นับรวมการพูดจากับประชาชนผ่านรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ซึ่งดูว่า น่าจะเพียงพอสำหรับการ “ชิงพื้นที่สื่อ”

ทว่า สารที่ถ่ายทอดไปจากรูปแบบข้างต้นดูจะไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจนัก โดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ประจำวันกับผู้สื่อข่าว สิ่งที่ “บิ๊กตู่” พูดยาวเหยียด ไม่สามารถลงได้ทุกตัวอักษร เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ของสื่อสารมวลชนที่จะต้องแบ่งให้กับทุกฝ่ายในสัดส่วนที่พอๆ กันเพื่อให้เกิดความหลากหลายทุกด้านตามหลักวิชาชีพ ไม่สามารถยกให้ “บิ๊กตู่” เพียงคนเดียวได้

ซึ่งการตัดบางท่อนบางตอน ทำให้บางครั้งข้อความที่ต้องการจะสื่อสารคลาดเคลื่อนหรือความหมายผิดเพี้ยนไปจากเจตนาที่ตั้งใจ

อีกทั้งปัจจุบันยังมีสื่อบางสำนักจ้องจับผิด “คำพูด” หรือ “อากัปกิริยา” ของ “ผู้นำทหาร” ในแต่ละวันที่หากพลาดพลั้ง ไม่ระมัดระวังปาก มีบางคำพูดที่รุนแรงหรืออ่อนไหวก็จะนำไปขยายต่อให้เป็นประเด็นเพื่อ “ดิสเครดิต” อย่างกรณีล่าสุดที่ “บิ๊กตู่” หลุดคำพูดแรงๆ ท่อนหนึ่งว่า “ให้เขาไปเป็นพ่อคุณแล้วกัน” ซึ่งก็โดนฝ่ายต้านนำไปเปรียบเทียบกับกรณี“ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เคยสบถวรรคทองตอนเป็นนายกรัฐมนตรีว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” จนโดนคนนินทาหมาดูถูกไม่มีภาวะผู้นำ
                  
   โดนย้อนศรกลับเลยว่า สุดท้าย “บิ๊กตู่” ก็ไม่ได้ต่างกันเสียเท่าไหร่

ขณะเดียวกัน การถาม - ตอบกับผู้สื่อข่าว ที่โดยธรรมชาติมักจะมีทั้งคำถามแบบตรงไปตรงมา คำถามในประเด็นอ่อนไหว คำถามในประเด็นร้อนๆ หรือการรุกไล่ในบางจังหวะ ทำให้“บิ๊กตู่” ที่มีบุคลิกแบบทหาร พูดจาตรงๆ โผงผาง มักเก็บอาการไม่อยู่ และแสดงความฉุนเฉียวออกมาบ่อยๆ จนเป็นประเด็นเกือบทุกครั้ง
             
     หรือบางครั้งถึงจุดเดือด หลุดคำหยาบๆ ออกมาให้เห็นเป็นเนืองๆ อาทิ วะ โว้ย มึง กู เลว ชั่ว เหมือนกัน แน่นอนคนที่รู้จัก “บิ๊กตู่” จะรู้ว่า นี่คือ บุคลิกประจำตัวตั้งแต่เป็นนายทหาร เป็นคนพูดตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความเป็น “บุคคลสาธารณะ” ที่สำคัญเป็นผู้นำประเทศย่อมต้องถูกตั้งคำถามเรื่อง “ภาวะผู้นำ”

ด้วยเหตุนี้ทำให้ช่วงสัปดาห์นี้เป็นต้นมา “บิ๊กตู่” เริ่มพูดน้อยลง และระมัดระวังคำพูดตัวเอง รวมถึงท่าทางกระโชกโฮกฮากลงไปเยอะ และหากมีประเด็นใดร้อนแรง ก็จะใช้วิธีการออก“สาร” เพื่อชี้แจงกับประชาชนผ่านหน้าจอทีวีแทน ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวแบบถึงประชาชน “โดยตรง”

เพราะวิธีการนี้จะทำให้ “บิ๊กตู่” สามารถเรียบเรียงถ้อยคำที่จะสื่อไปได้ มีเวลา มีพื้นที่ กลั่นกรองมาแล้ว ไม่เหมือนกับการถาม - ตอบเฉพาะหน้าที่อาจผิดพลาดพูดจาพลั้งปากไปได้

อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมาคนใกล้ชิดพยายามเตือน “บิ๊กตู่” ให้ระมัดระวังเรื่องการให้สัมภาษณ์ และท่าทางต่างๆ เพราะอาจเป็นการไปเข้าทางฝั่งตรงข้ามที่รอขย้ำ โดยอาศัยจุดอ่อนเรื่องอารมณ์และต่อมความอดทนที่ต่ำของ “บิ๊กตู่”

เป็นการปรับโหมดเรื่องข่าวสาร แทนที่จะต้องไปช่วงชิงกับฝ่ายการเมือง แต่ก็น่าจับตาไม่น้อยเหมือนกันว่า “บิ๊กตู่” ที่ชอบลับฝีปากกับนักข่าวเป็นชีวิตจิตใจจะสามารถเดินตามยุทธวิธีใหม่ที่วางเอาไว้ได้หรือไม่ อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ก็พยายามลดปริมาณการให้สัมภาษณ์ลงมาแล้วหลายครั้งเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว แต่จนแล้วจนรอดด้วยบุคลิกนิสัยที่ชอบชี้แจงก็อดไม่ได้ที่ต้องจ้อ
                    
     เที่ยวนี้ต้องรอดูว่า “บิ๊กตู่” จะรักษา “ตบะ” ไว้ได้นานแค่ไหน.
กำลังโหลดความคิดเห็น