xs
xsm
sm
md
lg

“อภิสิทธิ์” หนุนไม่ดึงนักการเมืองร่วม กรธ. แต่ไฟเขียวนั่ง สปท.ได้ เอาให้ชัดปฏิรูปเวลาที่เหลือคืออะไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
หัวหน้าประชาธิปัตย์หนุนไม่เอานักการเมืองนั่งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แต่หวังเปิดกว้างฟังความเห็นพรรค แนะควรแก้ รธน.ชั่วคราวทำหลักเกณฑ์ประชามติให้ชัด จี้สภาขับเคลื่อนฯ เอาให้ชัดปฏิรูปช่วงเวลาที่เหลือคืออะไร ยกคำ “ประยุทธ์” เตือนอย่าให้มีวิ่งเต้น ชูปัดฝุ่นฉบับปี 50 ใช้หากกฏหมายไม่ผ่าน ไฟเขียวสมาชิกร่วม สปท. เสนอเอาคนที่มีความคิดนั่ง ขอบคุณนายกฯ ใช้หลักรับผิดก่อนปรองดอง แต่ดักคอก็คงไม่ต้องตั้ง กก.ไว้ใน รธน.อีก โอ่ยังไม่เห็นอะไรที่จะไม่เชื่อว่า “บิ๊กตู่” ไม่สืบทอดอำนาจ

วันนี้่ (15 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.ว่า มีกำหนดในรัฐธรรมนูญชั่วคราวอยู่แล้ว ตนก็เห็นด้วยว่านักการเมืองไม่ควรเป็นกรรมการยกร่างฯ เพราะมีส่วนได้เสีย แต่พรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้การร่างรัฐธรรมนูญนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ ถ้าคิดว่าเป็นประโยชน์นักการเมืองก็ไม่ต้องฟัง แต่ถ้าเป็นการวางระบบที่ถูกต้องต้องรับฟังแม้ว่าคนพูดจะเป็นนักการเมือง จึงหวังว่ากรรมการจะทำงานอย่างเปิดกว้าง

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้งในประเด็นการทำประชามตินั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ควรทำเรื่องหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนจะได้ไม่มีการตีความเพราะถ้าเป็นหลักเกณฑ์กึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิจะเป็นเรื่องยากมาก จึงควรแก้ไข แต่ในส่วนอื่นไม่อยากให้มีการแก้บ่อยเกินไป เพราะทำให้โรดแมปเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่น จึงควรทำตามโร๊ดแมพจะดีที่สุด

สำหรับสภาขับเคลื่อนฯ ที่นายกรัฐมนตรีจะตั้งขึ้นนั้น อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สภาขับเคลื่อนฯ ใช้คำว่าผลักดันการปฏิรูปในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ อาจทำให้ชัดเจนก็ได้ว่า “ช่วงเวลาที่เหลืออยู่” คืออะไร แต่เจตนาก็เชื่อว่ามาทำหน้าที่ติดตามสิ่งที่ สปช.ทำไว้ และสรุปรวบยอดข้อเสนอต่างๆ ว่าอะไรต้องทำเป็นกฎหมาย อะไรต้องใช้อำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งเข้าใจว่ากำลังเข้าสู่ระยะที่สองบวกกับก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ ส่วนสภาขับเคลื่อนฯจะทำงานอย่างไรคงพูดล่วงหน้าไม่ได้ เพราะ คสช.อยากให้มีองค์กรขับเคลื่อนสิ่งที่ สปช.ทำไว้ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ระบุแล้วว่า ใครที่วิ่งเต้นจะขีดชื่อออก เมื่อท่านพูดแล้วก็ต้องทำอย่าให้มีการวิ่งเต้นได้ แต่สภาขับเคลื่อนฯ มีอำนาจจำกัดเพราะต้องไปใช้อำนาจบริหารและนิติบัญญัติ

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ผู้ที่จะมาทำหน้าที่สภาขับเคลื่อนฯและกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องเอาเรื่องการปฏิรูปเป็นตัวตั้งไม่ใช่เอากลุ่มคน หรือบุคคลเป็นตัวตั้ง จึงจะสำเร็จ ทั้งนี้ตนยืนยันว่าทุกคนมีหน้าที่ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่แก้ปัญหาประเทศและผ่านการทำประชามติ แทนที่จะคิดเป็นเรื่องการเมือง แต่ให้คิดว่าทำอย่างไรให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดีและผ่านการทำประชามติดีกว่า อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวเห็นว่าหากเขียนให้ชัดเจนว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติจะนำรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาแทนเพื่อให้เกิดความชัดเจน โดยคิดว่าควรนำรัฐธรรมนูญปี 50 มาให้ประชาชนเปรียบเทียบเพื่อให้เป็นทางเลือกที่ชัดเจนและเป็นแรงกดดันให้คนร่างต้องทำดีกว่าเดิม

“ผมยืนยันว่ารัฐธรรมนูญ 50 ไม่มีปัญหาเรื่องเนื้อหาแต่เป็นเรื่องของกลุ่มบุคคลที่ไม่ยอมรับ และไม่ยอมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ว่าหลักการใช้ไม่ได้ แตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 40 มีความล้มเหลวชัดเจนที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องรื้อใหม่ทั้งฉบับ ในขณะที่รัฐธรรมนูญปี 50 แก้จุดอ่อนปี 40 แล้ว แต่วันนี้เรามาไกลถึงขั้นจะมีอีกฉบับก็เปิดโอกาสให้กรรมการฯ ร่วมกับสังคมเอาสิ่งที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนการปฏิรูปทุกอย่างในรัฐธรรมนูญ เช่น ปฏิรูปพรรคการเมือง สามารถเขียนในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญป้องกันไม่ให้นายทุนยึดครองพรรคการเมืองก็สามารถทำได้ อยากให้โจทย์อยู่ที่การเขียนรัฐธรรมนูญที่ดี แทนที่จะเถียงด้วยวาทกรรม เผด็จการ ประชาธิปไตย นักการเมืองเลว ความขัดแย้ง แต่เอาปัญหาประเทศมาเป็นตัวตั้ง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ต้องเรียนรู้จากบทเรียนของการยกร่างฯ ที่ผ่านมาโดยต้องเข้าใจเงื่อนไขของความแตกต่างด้วย ซึ่งตนเห็นใจกรรมาธิการฯ ชุดที่แล้วที่อยู่ภายใต้ภาวะกดดัน ต้องผ่านทั้ง สปช.และประชามติ แต่วันนี้ไปที่ประชาชนเลยจึงต้องทำในกรอบที่ให้ประชาชนเห็นชอบคือทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของร่างฯ ซึ่งจะทำให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีเปิดช่องให้นักการเมืองเข้าร่วมเป็นสภาขับเคลื่อนฯ นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำได้เพราะไม่มีประโยชน์ทับซ้อนแตกต่างจาก สปช.ที่มีอำนาจในการอนุมัติรัฐธรรมนูญ แต่สภาขับเคลื่อนฯ มีหน้าที่เพียงแค่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปใครจะเข้าไปก็ไม่เป็นปัญหา เพราะไม่มีการเขียนอำนาจไว้

เมื่อถามว่า ไม่ปฏิเสธที่จะส่งตัวแทนไปร่วมเป็นสภาขับเคลื่อนฯ หากมีการทาบทามใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีระบบสมัครหรือโควตาอย่างไร แต่คิดว่าไม่มีปัญหาเพราะไม่มีอำนาจไม่มีประโยชน์ทับซ้อน ใครจะเข้าไปก็ไม่น่ามีปัญหาเพราะกฎหมายมหาชนไม่เขียนอำนาจไว้ก็ทำไม่ได้ อีกทั้งคิดว่าใครก็ตามที่ต้องการช่วยปฏิรูปแม้ไม่มีตำแหน่งในสภาขับเคลื่อนก็สามารถช่วยให้ความเห็นได้โดยให้การผลักดันเกิดจากสังคม และคิดว่าที่รัฐบาลจะนำทุกฝ่ายไปร่วมเป็นสภาขับเคลื่อนฯ คงไม่ใช่ทำเพื่อให้เกิดภาพว่ามีความปรองดองแล้ว แต่น่าจะทำให้ประเด็นการปฏิรูปเป็นของทุกฝ่าย ไม่ใช่ว่าบางฝ่ายยังยืนขวางการปฏิรูปอยู่ก็จะเป็นปัญหาในอนาคต แต่คนที่จะเข้าไปต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ถูกลากไปในแนวทางที่ไม่ถูกต้องไม่ปฏิรูปก็คงอยู่ไม่ได้ ตนจึงค่อนข้างสบายใจในเรื่องนี้เพราะไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องใครอยากเข้าไปก็เข้าใจ แต่จะทำมากน้อยแค่ไหนและต้องรับผิดชอบการปฏิรูปอย่างไรก็ต้องว่ากัน อย่างไรก็ตามไม่สามารถมีใครไปในนามพรรคได้เพราะพรรคไม่มีการประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ฟังนายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างการประชุมสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้วคิดว่าได้รับสัญญาณอะไรบ้าง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายกฯ ยืนยันเจตนาหลายเรื่อง และที่ต้องขอบคุณคือการพูดเรื่องปรองดองว่าต้องเกิดหลังความรับผิดชอบทางกฎหมายก่อน ถ้ายืนยันหลักนี้ตนสบายใจ หากนายกฯ มีหลักคิดเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีการบัญญัติคณะกรรมการปรองดองที่มีอำนาจในการเสนอพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษไว้ในร่างรัฐธรรมนูญอีก ส่วนการปฏิรูปเป็นเรื่องความเห็น ประเด็นปัญหาการเมืองตนก็เห็นด้วยบางส่วนไม่เห็นด้วยบางส่วน

“ผมยืนยันว่านักการเมืองไม่ดีก็มี ที่ดีก็มี ถ้าไม่แยกแยะจะไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองไม่ได้ ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงอย่าเหมารวม ลดวาทกรรม เอาเนื้อหาสาระเป็นตัวตั้ง ไม่เช่นนั้นปัญหาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ซึ่งทางพรรครอให้มีการตั้งกรรมการยกร่างฯ เรียบร้อยก็พร้อมที่จะให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติและบ้านเมืองเดินได้อย่างราบรื่นเพราะถ้าเกิดคว่ำแล้วคว่ำอีกไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่า นายกฯ ยืนยันต่อหน้าท่านว่าจะไม่สืบทอดอำนาจเชื่อหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อ ตนคิดว่าพูดแล้วคงทำ เพราะรู้จักดีพอสมควรจากการทำงานว่าท่านพูดอะไรไปแล้วก็ต้องทำตามสิ่งที่พูดไม่เช่นนั้นจะเสียหายเอง

เมื่อถามต่อว่า ถ้ามีการอ้างว่าสถานการณ์บังคับและกฎหมายรองรับแล้วทำหน้าที่ต่อจะเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ก็คือไม่ จะไปพูดอย่างอื่นก็กลายเป็นการบิดพลิ้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น