รองนายกฯ โต้ ไม่เคยเสนอ “มีชัย” นั่งประธาน กรธ. ย้อนเจ้าตัวก็บอกไม่รับ ชื่อ “จรูญ” ก็เช่นกัน ย้ำไม่เคยเสนอใคร อยู่ที่นายกฯ ยันยังไม่สั่งอะไร ชี้ สนช.-สปช.เสนอตัวบ่อยๆ นายกฯ อาจได้ยิน ไม่ตอบ สปช.หวนนั่งสภาขับเคลื่อน ย้ำรอความชัดเจน 22 ก.ย. แจง 6-4-6-4 ยืด 6 เดือนไม่ใช่ 20 เดือน รับ กรธ.21 คนน้อยไป สวนคำถามให้ตัวเองเป็นประธาน กรธ.เปรียบเรื่องรามเกียรติ์ยกเมืองน้องให้พี่ครองได้หรือ
วันนี้ (9 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงรายงานข่าวที่ระบุว่านายวิษณุเป็นผู้เสนอชื่อนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า ตนไม่เคยเสนอ และไม่เคยอยู่ในความคิดของตนแต่อย่างใด
“และผมไม่คิดด้วยว่าจะเป็นคุณมีชัย เพราะท่านเคยพูดเอาไว้แล้วว่าท่านไม่เอา อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกสนุกที่ได้นั่งเดาชื่อไปพร้อมๆ กับพวกสื่อฯ”
เมื่อถามว่าแม้แต่ชื่อนายจรูญ อินทจาร อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เคยเสนอใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ได้อยู่ในความคิดแต่อย่างใดและไม่เคยเสนอเช่นกัน ดังนั้นข่าวที่เอามาถามไม่เป็นความจริง และตำแหน่งดังกล่าวนั้นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.นั้นจะเป็นผู้คิดเอง
“ผมยืนยันว่าผมไม่เคยเสนอใคร และไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะเสนอชื่อใคร ยืนยันว่าผู้ที่จะคิดคือหัวหน้า คสช.เป็นผู้มีสิทธิขาด และเชื่อว่าท่านคงหารือกับคณะ คสช. เพราะตามรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของ คสช.และลงนามโดยหัวหน้า คสช.”
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการถึงเรื่องนี้อย่างไร นายวิษณุกล่าวว่า ไม่มีการสั่งการใดๆ มีเพียงใน ครม.กล่าวเสริมถึงความเห็นเท่านั้น แต่ไม่ได้ออกมาเป็นเรื่องหรือเป็นมติแต่อย่างใด และตนก็รู้สึกงงกับข่าวที่ว่า กรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือสมาชิกสภาขับเคลื่อนฯ ที่จะออกมานั้น ให้ครม.เป็นคนเสนอ ตรงนี้ก็ไม่มีการพูดใดๆ ตนยืนยันว่านายกฯไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย มีแต่พูดถึงเรื่องอื่นๆ
เมื่อถามว่า สนช.และ สปช.เสนอว่าสภาขับเคลื่อนฯ ควรมีตัวแทนจากทั้ง 2 สภา นายวิษณุกล่าวว่า ก็มีสิทธิเสนอ หากพูดบ่อยๆ ดังๆ นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้า คสช.ก็อาจจะได้ยิน แต่อย่างไรก็ตามตนเองไม่ควรจะตอบในเรื่องนี้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของตน
เมื่อถามว่ามีความเห็นอย่างไรต่อกรณีที่สมาชิก สปช.จะกลับเข้ามาทำหน้าที่ในสภาขับเคลื่อน นายวิษณุกล่าวว่า ตนไม่ทราบ ในเรื่องดังกล่าวจริงๆ และเมื่อไม่รู้ก็ไม่ควรตอบ แม้แต่จะให้แสดงความเห็นในประเด็นส่วนตัว ตนก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงความคิดเห็น คนอื่นอาจจะพูดได้ แต่สำหรับตนนั้นไม่ควร
“นายกรัฐมนตรีก็ได้พูดแล้วว่าควรจะมีความชัดเจนในวันที่ 22 กันยายนนี้ เพราะในวันที่ 23 กันยายน นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปต่างประเทศ อีกทั้งในวันที่ 22 กันยายน จะมีการประชุมร่วม ครม.-คสช. และเมื่อได้รายชื่อแล้วก็สามารถประกาศให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีโดยไม่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่อย่างใด หรือแม้แต่สมาชิกสภาขับเคลื่อนฯก็ไม่ต้องโปรดเกล้าฯ ทั้งนี้ที่พูดถึง 6-4-6-4 มีคนไปบอกว่าเป็นการยืดเวลาออกไป 20 เดือนนั้น ความจริงไม่ใช่ ความจริงยืดแค่ 6 เดือนเท่านั้น เพราะสมมติว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่าน สปช.เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็จะใช้สูตร 4-6-4 อยู่ดี เพราะฉะนั้นที่งอกเพิ่มมาคือ 6 ตัวแรกเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ยาวออกไป 6 เดือน ไม่ใช่ว่ายืดอายุคสช.ไป 20 เดือน ส่วนต่างคือ 6 เดือนเท่านั้น”
เมื่อถามว่าความเป็นไปได้ที่จะมีตัวแทนจากพรรคการเมืองเข้ามาร่วมในกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ นายวิษณุกล่าวว่า ตัวแทนจากพรรคการเมืองนั้นมีหลายแบบ ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวระบุว่า ห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมืองย้อนหลัง 3 ปี ห้ามเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองย้อนหลัง 3 ปี แต่ถ้าเสนอจากผู้ที่เคยเป็นสมาชิก และเกิน 3 ปีแล้วก็ได้ แต่จะตั้งหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ อย่างเช่น อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คนที่พ้นวาระไปแล้ว เช่น นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ ก็เลิกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไปกว่า 10 ปีแล้ว
เมื่อถามว่า กรรมการร่างฯชุดใหม่ควรอุดจุดอ่อนหรือเพิ่มจุดแข็งของ กมธ.ยกร่างฯ อย่างไรหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนคิดว่าไม่มีแข็งไม่มีอ่อน เพราะทั้ง 36 คนมีความแข็งปั้ก แต่จำนวน 21 คนมีจำนวนน้อยก็คงอ่อน ดังนั้นจะเสริมจำนวนขึ้นไปถึง 50 คงไม่ได้ เพราะล็อกไว้ที่ไม่เกิน 21 คน
เมื่อถามว่าคิดว่าใน 21 คนควรจะมีคละกันระหว่างคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นอาวุโสหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนตอบไม่ถูก ขอให้สื่อฯ ไปถามหัวหน้า คสช. ทราบว่าในการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีหลังการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมาก็มีการเล่นเกมเดาชื่อกันไปหลายคนแล้วไม่ใช่หรือ นายกฯ ก็บอกว่าไม่รู้จักสักคน และตนเองก็ไม่ทราบจริงๆ ถ้าเป็นคนตั้งเองคงจะบอกได้
“มีคนมาถามผมว่า มีข่าวว่าผมจะไปเป็นประธานกรรมการร่างฯ ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก ผมไม่ไป เพราะคุณสมบัติห้ามไว้ พอบอกว่าคุณสมบัติห้าม ก็ยังถามอีกว่าจะลาออกไปเป็นหรือไม่ แสดงว่าพวกนี้ไม่เคยอ่านรามเกียรติ์ ในตอนที่ไปฆ่าทศกัณฐ์ แล้วมีคนบอกให้ทศกัณฐ์ยอมแพ้ลาออกเสียแล้วเอาเมืองมา เพื่อจะตั้งยักษ์อีกตนไปเป็นเจ้าเมืองแทนทศกัณฐ์ ซึ่งยักษ์ตัวหลัง ตัวพี่นั้นก็เลยถามว่า ลงกาเป็นสองเมืองหรือ ให้น้องแล้วจะรื้อมาให้พี่ คือลงกาเป็นเมืองเดียว มีน้องครองอยู่แล้วจะยึดจากน้องมาให้พี่ครองได้หรือ ซึ่งคำพูดนี้เคยมีการพูดถึงแล้วครั้งหนึ่งว่า เอารัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ออกแล้วเอารัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์กลับเข้ามา ผลัดกันเป็นสองคนพี่น้อง อย่างนี้ถ้ายึดจากอาจารย์บวรศักดิ์มาให้ผมก็เข้าลักษณะเดียวกันนั่นแหละ”