“ประยุทธ์” มอบรางวัลองค์กรเป็นเลิศบริหารจัดการการคลัง จี้เร่งเบิกจ่ายงบฯ แต่ต้องไม่ทุจริต ระบุที่ผ่านมา ขรก.อึดอัดเพราะอำนาจทับซ้อนระหว่างฝ่ายการเมืองกับการบริหารราชการ ทำคนดีอยู่ไม่ได้ ฝากช่วยกันคิดจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้ พร้อมเตือนพวกแกนนำที่ออกมาทำปากดีให้ระวัง ยันไม่เคยตั้งป้อมรังแกหรือคิดไล่ล่า แต่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะค้างคามานาน เรียกร้องอย่าทะเละกันเพื่อคนบางคน ควรหันหน้าเข้าหากัน ซัดโครงการจำนำข้าว-รถคันแรกทำความเสียหาย สร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อื้อ ส่งซิกร่าง รธน.ต้องหาสาเหตุของปัญหา แล้วปรับปรุงการบริหารด้วยกฎหมาย หรืออะไรสักอยากช่วงหนึ่งก่อน แล้วกลับไปเป็น ปชต. บอกพร้อมคืนความสุขพรุ่งนี้เลยหากคิดว่าประเทศพร้อมแล้ว
ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (9 ก.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 โดยกล่าวว่า การบริหารการเงินการคลังต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ให้ประชาชนมีความเชื่อถือมั่นใจ และสร้างความเข้มแข็งขององค์กรเพื่อทำงานให้ประชาชน ไม่ใช้เพื่อใช้อำนาจในการบังคับใคร ต้องสร้างความเชื่อใจและลดความหวาดระแวง ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ ติดขัดระเบียบข้อบังคับต่างๆ มากมาย จึงช่วยกันทำอย่างไรให้การเบิกจ่ายงบประมาณทำได้เร็วขึ้น ไม่ทุจริต ไม่ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเสียหาย ที่ผ่านมาเรามีรางวัล มีคณะกรรมการตรวจสอบจำนวนมาก มีกฎหมายระเบียบ และรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังมีการทุจริตไม่โปร่งใส ซึ่งไม่โทษใคร ไม่โทษข้าราชการ โทษคนยืนตรงนี้คือรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงมีหน้าที่เข้ามาแก้ปัญหาให้ได้ เพื่ออนาคตข้าราชการทุกคนจะได้มีศักดิ์ศรี ไม่ให้ใครมาตราหน้าได้ว่าทุจริต
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การทุจริตเกิดจาก 4 ปัจจัย ประกอบด้วย รัฐบาล ข้าราชการ เอกชน และประชาชนทั้งหมดมีส่วนร่วมที่จะทำให้ดีหรือไม่ดี หรือการกระทำความผิด หากแก้ไขไม่ได้ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลชุดนี้กำลังทำหน้าที่คือนำทุกอย่างทุกอย่างที่ไม่โปร่งใสมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดสมัยตน แต่เป็นปัญหาที่ค้างคาจากรัฐบาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตนห่วงข้าราชการหลายคนที่ถูกลงโทษ ถูกปรับย้ายจากตำแหน่ง คิดว่าเป็นปัญหาทับซ้อนระหว่างอำนาจรัฐกับอำนาจในการบริหารราชการของข้าราชการ ดังนั้นอนาคตเราต้องสร้างความเข้มแข็งขององค์กรให้เกิดขึ้นให้ได้ สร้างทุกคนให้มีคุณธรรม และสร้างองค์กรที่มีจริยธรรม โปร่งใส เป็นองค์กรที่มีความมั่นคง สามารถชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ใช้อำนาจได้
“ผมเข้าใจดีว่าปัญหาที่ผ่านมา ปัญหาทับซ้อนหลายอย่าง สิ่งสำคัญคืออำนาจในการบริหารราชการ อำนาจในการปกครองของข้าราชการจากฝ่ายการเมือง มันยังมีอยู่ ทราบดีว่าข้าราชการหลายคนอึดอัด จากการทำบางสิ่งบางอย่าง ทำให้คนดีๆ อยู่ไม่ได้ ส่วนคนที่อยู่ได้คือคนที่ต้องทำตามเขา แม้ไม่อยากทำก็ต้องทำเพราะเป็นอำนาจจากการปกครองของผู้บังคับบัญชา ผมถึงได้บอกว่าถ้าหัวข้างบนมันทำดี ตรงกลางและท้ายก็ต้องดี ประชาชนจะได้รับประโยชน์ ผมจึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้แต่ละองค์กรและประเทศมีความเข้มแข็งที่ยั่งยืนอย่างไรต่อไป และคงไม่ใช่เพราะผม เพราะผมไม่ใช่เทวดา หรือจะชี้อะไรทุกอย่างไร แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน อำนาจทุกอย่างของประเทศอยู่กับประชาชน ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น อำนาจหน้าที่ของผมที่ทุกคนกล่าวหาว่าผมอยากจะสืบทอดนั้น ความจริงแล้วคือการสืบทอดอำนาจของประชาชน ไม่ว่าการเลือกตั้งที่ถูกต้อง เข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องและสนับสนุนรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ตรงนี้ถือเป็นหน้าที่ของผม ผมไม่ได้ต้องการที่จะอยู่ไปจนกระทั่งแก่ เพราะทุกวันนี้ก็แก่พออยู่แล้ว อยากพักผ่อนเต็มที แต่ในเมื่อมันมาแล้ว และยังไปไหนไม่ได้ในตอนนี้”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะเห็นได้ว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีปัญหาวุ่นวายหลายประการทั้งเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการต่างๆ มากมายไปหมดจนทุกคนลืมไปหมดว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน มีการบริหารราชการแผ่นดินโดยใคร พอทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยก็ตีกันขึ้นมาอีก ถ้าอยากกลับไปอยู่ในบรรยากาศ ก่อนวันที่ 22 พ.ค. 2557 อีกก็เอา ตนไม่ว่าอะไร แต่ก็อยากจะเตือนและฝากบอกไว้ก่อนว่าพวกบรรดาผู้นำที่ออกมาขอให้ระวังตัวเอาไว้
“ปากดีทุกคนนั่นแหละ ถ้าเมื่อไหร่ศาลตัดสินว่าผิดก็บอกว่าไม่เป็นธรรม แต่ถ้าตัดสินว่าถูกก็จะทำเฉยๆ และชื่นชม ทั้งๆ ที่เป็นศาลเดียวกัน ผมไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้สติมันเป็นอะไร ผมไม่อยากพูดอีกเดี๋ยวอารมณ์เสีย ตั้งใจที่จะอารมณ์ดีแต่ก็อดไม่ได้เพราะมันมากดดันผมเยอะ ใครจะว่าอะไรผมก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดไว้ เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นที่มันจะยืดยาว จะช้าหรือไม่ช้าไม่ได้อยู่ที่ผม อยู่ที่การทำงานจะเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน ทุกภาคส่วนที่ต้องวิเคราะห์และเข้าถึงปัญหา ถ้าเรายึดแบบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเรื่องของอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าทุกวันนี้มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง สาเหตุเกิดจากอะไร และต้องหาหนทางแก้ปัญหา ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดสิ้นไป"
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวกับตรวจสอบและองค์กรอิสระต่างๆ ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ วันนี้สถานการณ์ค่อนข้างอ่อนไหว การทำงานก็ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด เมื่อวานมีคนไปฟ้องร้องตน แต่ไม่รู้ว่าฟ้องได้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าใครจะรับ จะต้องรู้ตนอยู่ฐานะไหน ตนไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด ใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์และแก้ปัญหาที่มีผลกระทบต่อสังคมให้ได้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นปัญหาแก้ไม่จบ ไม่ได้สักอัน จึงจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ในบางเรื่องและต้องดำรงและรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นหน้าที่ของตนที่ทำเฉพาะในสิ่งดีๆ ก็ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าตนไม่ได้เป็นศัตรูและเกลียดใครเป็นการส่วนตัวสักคน เว้นแต่เขาจะเกลียดตนก็แล้วแต่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้พยายามสร้างความเข้มแข็ง ทำให้เกิดปัญหาตามมาจนถึงทุกวันนี้ในหลายๆ เรื่อง ตนไม่ได้โทษใครเพราะโทษไปเขาก็ไม่รับ วันนี้รัฐบาลจึงทำทุกอย่างในทุกมิติ ทำให้ประเทศขับเคลื่อนต่อไปให้ได้ พร้อมไปกับการดูแลคนในทุกภาคส่วนและเร่งสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมว่าเราจะอยู่กันอย่างไร เราจะอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ซึ่งเราจะใช้กฎหมายมาสร้างความขัดแย้งอีกไม่ได้ กฎหมายเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ ทำให้เกิดความเท่าเทียม ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ผ่านกระบวนการยุติธรรมอันเดียวกัน ถ้าวันนี้บอกว่ากระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรมก็อยากย้อนถามว่า ศาลเพิ่งตั้งขึ้นใหม่หรือเปล่า ในข้อเท็จจริงศาลตั้งมากว่า 80 ปี ถ้ากล่าวหาเช่นนี้ก็แสดงว่าที่ผ่านมาศาลใช้ไม่ได้ ไม่เป็นธรรมหรืออย่างไร อย่ามาคิดว่ามีการรังแก ไล่ล่ากันต่างๆ เพราะในความเป็นจริงเรื่องเหล่านี้ค้างคามานาน ตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา แต่ไม่ถูกนำเข้ามาตรวจสอบ วันนี้รัฐบาลนี้มีหน้าที่ให้กระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมมาทั้ง สตง., ปปง., ป.ป.ท.มาดำเนินการตรวจสอบ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ผิดก็คือไม่ผิด รัฐบาลทำแค่นี้พอแล้ว ซึ่งรัฐบาลจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องไม่ทำความผิดหรือไม่ไปส่อเจตนาอะไร
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้อยากให้ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเอง โลกก็เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น เราจะทะเลาะกันไปทำไมเพื่อคนไม่กี่คน ตนก็ไม่ยากไปทะเลาะด้วย อยากให้ทุกคนปรองดองและคงไม่ต้องใช้อำนาจให้เกิดความปรองดองเหล่านี้ เพราะเราไม่ได้มีคดีความ ฉะนั้นทุกคนต้องปรองดอง อย่าไปถือหางคนนู้นคนนี้มาแล้วก็ทะเลาะกัน ต้องแยกแยะให้ออกว่าใครทำผิดทำถูก อย่าไปเข้าข้างใครหรือเข้าข้างตน ต้องเข้าข้างประเทศและประชาชนของท่าน แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของใคร เป็นของประชาชนต้องภูมิใจในสิ่งที่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ และบรรพบุรุษที่ต้อสู้มาจนมีแผ่นดินวันนี้ ไม่เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมใคร ท่านต้องภูมิใจตรงนี้ ตนไม่อยากให้ไปถือหางชอบคนนั้นคนนี้ หากจะชอบไม่ต้องชอบตัวบุคคล ต้องชอบที่นโยบายและการทำงาน นั่นคือประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ชอบนโยบายพรรค ต้องเป็นนโยบายที่ไม่ทำให้ประเทศเสียหาย และทุกคนคงทราบดี ความเสียหายเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เดี๋ยวก็คงชัดเจนขึ้น ความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในทุกๆ เรื่อง ซึ่งตนคงยอมรับไม่ได้ในฐานะที่มีอำนาจเต็มในขณะนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ต้องขอให้กำลังใจในการทำงานกับทุกท่าน อย่าไปเกร็งกับการทำงาน ถ้าไม่ทำผิดใครจะทำอะไรได้ ต้องตั้งใจต่อการทำงาน มีความปรองดองในสถานที่ทำงาน และทำงานด้วยความสบายใจ ไม่ต้องมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นพวกใคร เพราะที่เป็นพวกมันไปหมดแล้ว คนที่ทำความผิดไม่ดีไม่งามก็ไม่อยู่แล้ว ถ้ามีก็อยู่น้อย ฉะนั้นข้างล่างไม่ควรทะเลาะกันอีกแล้ว ต้องรวมพลัง สามัคคี สร้างพลังให้กับหน่วยงานของตัวเองเพื่อที่จะเดินหน้าประเทศในวันข้างหน้า วันนี้ต้องปรับรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน เริ่มต้น จากนั้นเอกชนต้องไปเดินต่อคู่ขนานกันไป ถ้าแบบนี้จะทำให้ไปเร็วขึ้น ถ้ารัฐมัวแต่ลงทุนจะเอาเงินที่ไหน หาเงินก็ยังไม่ได้ ถ้าลงทุนอีกก็จะเป็นหนี้ผูกพัน หนี้สาธารณะ รัฐบาลนี้จะลงทุนเฉพาะเท่าที่จำเป็น อาจจะต้อมีกู้บ้าง เพราะที่ผ่านมามีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หลายอย่าง ต้องแก้ปัญหาชดใช้หนี้ไป
“ไม่อยากจะพูดว่าคดีไหน คดีที่หนักที่สุดคือ โครงการรับจำนำข้าว ถ้าไม่หยุดวันนี้จะเป็นหนี้อีกเท่าไหร่ ทำไป 2 ปี ถ้าไม่หยุดทำจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กระทบทีละ 5 แสนล้าน เกิดความเสียหายมากมาย รับจำนำมาตันละ 15,000 บาท ซึ่งราคาตลาดมันไม่ถึงอยู่แล้ว เอาละช่วยประชาชนผมไม่ว่า แต่เอามาแล้วจำหน่ายได้ไหม ขายใครได้ไหม ต้นทุน 15,000 บาท วันนี้กลายเป็น 2 หมื่นกว่าบาท และก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 3 หมื่น เพราะต้องมีค่าคลังเก็บรักษา ค่าเจ้าหน้าที่ดูแล แต่ผมให้โอกาสเพราะให้เกียรติคนทำงาน เพราะไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากคนที่อยู่ในกระบวนการที่รับรู้ และผมก็ไว้ใจ ไม่ต้องกลัว ทำไปให้ดีที่สุด ทุกเรื่อง และเรื่องที่เสียหายมากอีกคือรถคันแรก เดือดร้อนไปหมด เป็นการสร้างดีมานเทียม บางคนซื้อยังขับรถไม่เป็น แต่จองไว้เพื่อเอาเงินแสน เสียเงินไป 8 หมื่นกว่าล้าน ธุรกิจรถยนต์เสียหาย เพราะทุกอย่างบิดเบือน”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ตนไม่อยากสั่งใคร ที่ผ่านมาเป็น ผบ.ทบ.ใช้อำนาจเบื่อแล้ว สั่งทุกวัน แต่วันนี้มาเป็นนายกฯ 1 ปีกว่า สั่งมากกว่าเป็น ผบ.ทบ. 4 ปี อะไรทำได้ไม่ได้ก็ว่ามา เจตนาของตนบริสุทธิ์อยู่แล้ว ความคิดเห็นที่เสนอมาตนก็รับฟัง ทำได้ไม่ได้อยู่ที่ท่าน และวันนี้ก็คงมีคนเดือดร้อน ตนก็โดนอีกหาว่าไปรังเกียจ รังชัง ถ้าไม่เกิดความเสียหายตนไม่ทำอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขอให้นำนโยบายรัฐบาลไปดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ได้รับรายงานเรื่องการเบิกจ่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าปีที่แล้วและปีก่อน แต่ปัญหาเมื่อเบิกจ่ายไปแล้วการจัดทำสัญญาไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชการอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้างด้วย เพราะต้องขยายโครงการการลงทุนต่างๆ ไปหลายพื้นที่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า เรื่องที่ข้าราชการโดนโจมตี ด้อยค่ากันไปหมด สิ่งที่อยากฝากคือการเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้อยากใช้คำว่าวันนี้ข้าราชการต้องปฏิบัติตัวให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ทุกอย่างอยู่ที่จิตสำนึก รัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน นักการเมือง ต้องนึกว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เราทำ ข้าราชการโดนโจมตี ด้อยค่ากันไปหมด เคยบอกตั้งแต่แรกแล้ว การเป็นทหาร ตำรวจ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องไปสู้รบกับเขา ถ้าทำไม่ดีเขาก็ไม่ไปรบให้เรา เพราะเหมือนเขาต้องไปตาย ตนสั่งให้เขาไปตายเพื่อชาติเขาก็ต้องไป แต่วันนี้ตนสั่งแบบนี้กับข้าราชการไม่ได้ แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยการปลูกจิตสำนึก วางพื้นฐานให้นักการเมืองต่อไปในอนาคต ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ตนสืบทอดเอาไว้ ที่ไม่ใช่สืบทอดอำนาจของตน หรือ คสช.
“ผมอยากจะบอกว่าไม่เคยนึกอยากจะอยู่แม้แต่วันเดียว และไม่เคยคิดอยากจะเข้ามาเลยตั้งแต่วันแรก วันก่อนถามผมเรื่องเจ็บขา ก็บอกว่าเจ็บเพราะเตะตัวเอง ทำอะไรก็ไม่พอใจ จะเอาให้ได้ ทั้งที่ควรจะต้องร่วมกันลงทุกเพื่อประเทศ ไม่ใช่ผมคนเดียว ทั้งชีวิตและครอบครัว ความเป็นอิสระ ความปลอดภัย ผมต้องลงทุนคนเดียวหรือไง ทั้งที่ประเทศนี้เป็นของทุกคน ต้องยอมรับกติกาที่จะร่วมกันเดินหน้าประเทศอย่างไร อะไรที่จะทำให้เดินหน้าไปอย่างยั่งยืน จะด้วยวิธีการไหน ด้วยรัฐธรรมนูญ หรือบทเฉพาะกาล ผมไม่อยากเขียนรัฐธรรมนูญเอง ถ้าจะเขียนคงเขียนแค่ 5 มาตราพอมั้ง เดี๋ยวถ้าบวกมาตรา 44 อีกก็จะเดือดร้อน แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของผม แต่เป็นเรื่องของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า การร่างรัฐธรรมนูญต้องหาปัญหาและสาเหตุก่อน จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อการบริหารด้วยอะไรสักอย่าง หรือด้วยกฎหมายสักช่วงเวลาหนึ่งดีกว่าหรือไม่ หรือจะเป็นประชาธิปไตยเลยทีเดียว นี่คือเหตุผลว่าทำไมร่างรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าบอกว่าให้ทำสำเร็จเลยแล้วเลือกตั้งก็เอาไปเลย ถ้าคิดว่าวันนี้พร้อมแล้ว แต่ถ้าคิดว่ายังไม่พร้อมต้องช่วยกันคิดว่าจะเอายังไง ไม่ใช่ว่าตนสั่ง เมื่อคิดออกแล้ว ต่อให้มันไม่ปกติอย่างไร หรือคิดว่าปกติแล้ว แต่ตนว่ายังลำบากอยู่ เพราะถ้าสถานการณ์ปกติตนคงไม่มาลำบากขนาดนี้ ไม่ต้องมีใครมาพูดโวยวายทั้งในประเทศและต่างประเทศ นี่คือปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คนไทยเป็นอย่างนี้ ต้องฝึกฝีมือต่อสู้กันไปเรื่อยๆ พร้อมรองรับภัยที่จะเกิดขึ้นจากต่างชาติด้วยกากรสู้รบกันเองไปก่อน เมื่อไหร่ที่มีภัยจากภายนอกประเทศไทยจะแข็งแกร่ง เป็นอย่างนี้ทุกที แต่ถ้าประเทศสงบเมื่อไหร่ก็เอากันสักหน่อย ฝึกปรือฝีมือทะเลาะกัน แบบนี้ต้องเลิกแล้ว ต้องหันมารวมหัวกันเหมือนไม้ไผ่หลายท่อนมารวมกันเป็นลำ เพราะถ้าเป็นไม้เดียวหักได้ง่ายไม่เหมือนเป็นมัด แค่อยากจะเตือนเพราะจะไปสั่งอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ขอให้สร้างจิตสำนึกให้ดีว่าจะทำอย่างไรจะลดความเหลื่อมล้ำ ลดความไม่ธรรม และสิ่งที่ได้ทำไปแล้วคือแก้ไขกฎหมายให้ทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน ได้รับการตอบแทนเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ตนจะดูแลข้าราชกการชั้นผู้น้อยก่อน ไม่ใช่จะให้หัวได้มากข้างล่างได้น้อย เพราะทุกคนมีภาระต้องดูแล
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า อะไรที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่าไปทำเป็นบาป ขอแค่คิดดีก็เป็นกุศลแล้ว จะมีความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า ที่ผ่านมาการเมืองทำให้ทุกอย่างสับสน บางทีหน่วยงานไม่ต้องมีมากเพราะงานเขาเยอะอยู่แล้ว มันมีวิธีการหลายอย่างที่จะปรับโครงสร้าง วันนี้สำหรับข้าราชการตกเป็นแพะ เช่น การทำหน้าที่ ตำรวจพอจับได้ก็บอกว่าเป็นแพะ อย่าลืมว่า ตำรวจก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเป็นข้าราชการ แต่ถ้าทำผิดก็ต้องย้าย วันนี้ตำรวจถูกย้ายไปเป็นร้อยแล้ว ย้ายทุกที่ บางที่ก็โอดโอย บอกแล้วว่าอะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยต้องรับผิดชอบ ถ้าย้ายออกแล้วไม่มีย้ายกลับ ต้องไปอยู่ที่อื่น ทำแบบนี้มาตลอด
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายที่สุด คือ สื่อโซเซียลมีเดีย เขียนอะไรมาบางทียังคิดว่าเขียนไปได้ยังไง บางทีนั่งเขียนอยู่บ้าน มีหน้าที่ในการปลุกปั่น ปั้นจิ้งหรีดหัวทิ่มหัวตำ ทำงานไม่มีความสุข ต้องแก้ไขตรงนี้ จะเชื่อจะฟังอะไร แต่ถ้าไม่ไปอ่านไม่ฟังก็โง่ไม่ทันเขา แต่ถ้าเชื่อทั้งหมดไอ้นี่มันบ้า เพราะบางอันใช่ บางอันก็ไม่ใช่
“วันนี้ข้าราชการดีๆ เหลืออยู่น้อยมาก จะแต่งตั้งใครสักที มาแล้วไอ้นี่ไม่ดี ไอ้นี่อย่างนั้น ทุกอย่างมาจากคนข้างๆ เราต้องรับกติกากันใหม่ ให้เป็นไปตามอาวุโส ถ้าจะข้ามขั้นก็เป็นเรื่องของอนาคต เพราะถ้าจะเกษียณพร้อมกันหมดก็ไม่มีคนทำงาน ต้องคิดว่าจะวางคนไว้อย่างไร ไม่ได้วางคนไว้เพื่อปกป้อง หรือปกปิดความผิดของเราความดีจะปกป้องเราเอง แล้วลูกน้องจะรักเราเอง ไม่ต้องตอบแทนมันก็รัก เพราะเราให้ความเป็นธรรม ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง และใครที่เป็นลูกน้องผมต้องทำใจให้ได้ว่าจะโตกว่าเขาทีหลัง ถ้าอดทนได้ไม่ตายซะก่อนเดี๋ยวก็โต อย่าไปตอบแทนอย่างอื่นเพราะจะทำให้ระบบเสีย แต่งตั้งแบบอาวุโสบ้าง ข้ามขั้นบ้าง ไม่เคยมีใครไปสั่งใคร เสนอขึ้นมาปรับย้าย เราดูตามความเหมาะสมต้องยอมรับว่าเราอยู่ในสถานการณ์คาบเกี่ยว ต้องเร่งสร้างการยอมรับให้กับประชาชนก่อน”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า การใช้จ่ายเงินในระบบบ้านเรามีปัญหาประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ จากธุรกิจที่ไม่ถูกกฎหมายและจากการทุจริต และนำมาสู่ระดับล่าง ได้มาง่ายก็ใช้ง่าย พอหยุดเงินเหล่านี้ก็หายไปซึ่งเราเข้าไปจัดระเบียบ แต่พอทิ้งช่วงห่างไป ธุรกิจเหล่านี้ก็วนเวียนกลับมาอีก กลายเป็นความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ ทำให้รัฐต้องบังคับใช้กฎหมาย
“ขอโทษถ้าผมใช้คำรุนแรงไปบ้าง แต่ขอให้อดทนกับผมไปอีกนิด ตอนนี้ก็มาทวงแล้ว ไหนว่าจะขอเวลาอีกไม่นาน ตอนแต่งเพลงไม่ได้เจตนาตรงนี้ แต่ตอนนี้มาทวงแล้ว แล้วถามว่าสุขจริงหรือยัง ถ้าสุขจริงพรุ่งนี้ก็คืนให้ได้ ถ้าคิดว่าพร้อม วันนี้ต้องขอบคุณที่บางพรรคการเมืองเข้าใจแล้ว ไอ้บางพรรคก็เหมือนเดิม หัวทิ่มหัวตำอยู่อย่างเก่า ช่างมันสู้มันได้อยู่แล้ว สู้มันด้วยความดี ส่วนเรื่องเก่าค่อยว่ากัน ตราบใดที่เรื่องใดไม่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็จะไม่ไปจับตาจ้องใคร แต่ถ้าเรื่องใดอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้วก็ไปสู้กัน แต่ถ้าไม่ได้อยู่ไม่ต้องมากลัวผม แต่อย่าทำผิดอีก เพราะผมไม่ได้ไปทาบทับอำนาจท่านเลย เพียงแค่ผมต้องการบริหารงานในเชิงรุก แก้ปัญหาประเทศชาติได้อย่างไรในเวลาที่มีออยู่”