“ประยุทธ์” ยินดีทูตใหม่สหรัฐฯ อยากให้พบกันเร็วๆ รับเป็นสัญญาณบวก แจง ตปท.เข้าใจขึ้นเรื่อย ยันไม่เคยทำลายความสัมพันธ์ เผยคุยทูต UN เสนอให้ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมหารือแก้ปัญหาโลก ชี้รู้และเข้าใจปัญหาจะทำให้สงบโดยเร็ว ดีกว่าใช้แต่กองกำลัง ย้ำเจตนารมณ์โรดแมป รับต่างชาติพอใจรัฐธรรมนูญ พร้อมแนะวิธีแก้ปัญหาในปากีสถาน แต่ไม่ยุ่งภายในกัน ย้ำวันข้างหน้าต้องคบกันรวมถึงมะกัน
วันนี้ (7 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการที่วุฒิสภาสหรัฐอเมริกามีมติแต่งตั้งนายเกล็น ทาว์นเซนด์ เดวีส์ เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยคนใหม่ เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนมีความยินดี เมื่อสักครู่ตนได้ฝากกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ ไปบอกแล้ว ทางทูตก็บอกเองว่าอยากจะมา ตนก็ตั้งใจรอทูตมาประจำการที่ไทยเช่นกัน อยากให้รีบมาเร็วๆ ให้มาพบกันก่อน ตนพร้อมที่จะคุยกับเขา จะได้ทำความเข้าใจกันก่อน ถ้าไปฟังที่อื่นมาแล้วไม่ฟังตนเลย มันก็จะไม่เข้าใจกันตั้งแต่ต้น เขาก็ยิ้มและหัวเราะกัน และรับปากตนว่าจะนำไปบอก
เมื่อถามว่า เป็นสัญญาณทางบวกของประเทศไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใช่ เป็นสัญญาณบวกอยู่แล้ว เราไม่ใช่ศัตรู การเมืองก็คือการเมือง ประชาธิปไตยก็คือประชาธิปไตย แต่คนมันต้องกินต้องอยู่ ธุรกิจจะต้องเดินหน้า ธุรกิจมากมายกี่แสนล้านที่ต้องลงทุนกันอยู่ เขาก็ทิ้งไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะดีขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมไม่ได้เสียอะไรกับเขา เสียตรงไหนล่ะ ผมไม่ได้ไปทำลายความสัมพันธ์กับเขา แต่ผมเห็นใจเขา เพราะเขาเป็นประเทศที่เป็นแกนนำด้านประชาธิปไตยแบบตะวันตก เขาก็ต้องพูดแบบนั้นนั่นแหละ ผมจะไปว่าอะไรเขาได้เล่า เพราะผมมาอย่างนี้ ผมต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเมื่อผมมาอยู่ตรง ผมทำและสร้างสรรค์อะไรบ้าง หรือทำลายอะไรไปบ้าง ผมไม่ได้ทำลายอะไรไปซักอย่างหนึ่ง ในความรู้สึกของผมเองนะ เพราะผมไม่ได้คิดอย่างนั้น มีแต่การบังคับใช้กฎหมายให้มันทำได้ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้ไปทำลายใคร เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทั้งสิ้น ก็เริ่มเข้าใจกันขึ้นเรื่อยๆ 17 ประเทศที่มาเข้าพบเมื่อเช้านี้ก็เข้าใจ ก็ดูไทยเป็นตัวอย่างว่าจะปฏิรูปประเทศไปอย่างไร พัฒนาประเทศอย่างไรให้ไปสู่การมีรายได้ที่มากขึ้น เมื่อเช้านี้ก็คุยกันเยอะ เมื่อกี้ก็คุยกับบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วทั้งสิ้น เขาก็มาถามเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ว่าถ้าเขาลงทุนต่อไป มันจะเป็นอย่างไร ตนก็ยืนยันว่าเราพร้อมที่จะดูแล และส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ด้วยซ้ำไป ผลประโยชน์ไม่ได้กลับมาที่รัฐบาลผม แต่ไปที่รัฐบาลหน้า เราจะได้เลิกทะเลาะกันเสียที มีรายได้เข้าประเทศ ไม่ต้องไปรอการส่งออกที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แบบนี้ การเกษตรที่มันแย่ๆ อยู่อย่างนี้ ก็ต้องมาแปรรูปกัน มาเพิ่มมูลค่า”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการที่คณะเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กเข้าเยี่ยมคารวะว่า วันนี้เข้าพบ 2 คณะ คณะแรกคณะผู้แทนประจำยูเอ็น มาทั้งหมด 17 ประเทศ มาเยี่ยมเยียน มาสร้างความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมประเทศไทย หลายคนก็ไม่เคยมา ครั้งนี้เป็นการจัดครั้งที่ 3 มาเพื่อสร้างความเข้าใจ หลายประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่มากนัก เราได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนหารือกันมากพอสมควรในประเด็นทางด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการแก้ปัญหาของยูเอ็น สถานการณ์โลกในปัจจุบัน และตนได้แสดงความคิดเห็นไปมากมายว่าจะทำอย่างไรให้โลกใบนี้สงบลงให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเสนอไปว่าให้ใช้แนวทางตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของยุทธศาสตร์การพัฒนา เศรษฐกิจพอเพียง ไดทำการอธิบายให้เขาเข้าใจ และนำไปใช้ และหารือในเรื่องของการแก้ปัญหาของโลกใบนี้ ตนได้เสนอแนะไปว่าคงต้องใช้ในหลายวิธีการ โดยการกำหนดเป้าหมายของแต่ละประเทศ ของประชาคมโลกซึ่งมีพื้นฐานไม่เท่ากัน ถ้าเราแยกแยะได้ รู้และเข้าใจของปัญหา เข้าใจพื้นที่ เข้าใจประชาชน และประเทศที่ไม่เหมือนกัน มันจะทำให้ความสงบเกิดขึ้นได้โดยเร็ว ตนก็บอกว่านี่คือสิ่งที่ตนเสนอไปอย่างนี้ เขารับไปและก็มองว่ามันก็จริงเหมือนกัน ถ้าเราใช้กองกำลังสันติภาพอย่างเดียว มันก็ไม่ได้ ตนได้เสนอไปว่า เหมือนที่ไทยเราไปในกองกำลังสันติภาพ เราเอาส่วนในเรื่องของการพัฒนา การเพาะปลูกไปด้วย จะทำให้ความขัดแย้งลดลง และทำให้เขามีกรพัฒนาตนเองเพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งนี้คือสิ่งที่โลกกำลังจะต้องการ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้พูดถึงในเรื่องการเมืองของเรา ตนยืนยันในเจตนารมณ์ของเรา และเรื่องของโรดแมปที่กำลังเดินอยู่ในขณะนี้ เขาก็เข้าใจหมด เวลาตนพูดกับต่างชาติเขาก็เข้าใจดี มีแต่ประเทศไทยที่ยังไม่เข้าใจอยู่ เขาได้ถามถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ ตนได้อธิบายให้เขาไปในเรื่องปฏิรูปว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็พอใจ อย่างเช่น ปากีสถานได้ถาม เขาให้ตนแสดงความคิดเห็นว่าประเทศปากีสถานอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จะทำอย่างไร ตนได้แนะนำไปว่าประเทศของเราไม่ได้อยู่ในความรุนแรงแบบเขา แต่สิ่งที่เราจะต้องทำคือเรื่องของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะต้องมีถึง 3 คณะเป็นอย่างน้อย คณะแรกเกี่ยวกับเรื่องปฏิรูป คณะที่ 2 คือ ปรองดอง คณะที่ 3 เป็นการสร้างกลไกของรัฐให้เข้มแข็ง และมีการขจัดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างน้อยต้องมีถึง 3-4 คณะ ทางเขาก็รับทราบ ตนก็ได้แนะนำเขาไปเช่นนั้น ไม่ได้อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายใน มันเป็นหลักการว่าแต่ละประเทศจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ภายในของกัน แต่ตนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตนได้บอกว่าเป็นความคิดของตน ไม่ได้เป็นของใคร วันนี้เราจะต้องเดินหน้าประเทศ ให้ทุกประเทศไว้วางใจเรา ไม่ใช่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ตนในฐานะที่เป็นรัฐบาล การพูดอะไรก็ตามตนจะพูดในลักษณะนี้ คือเราไม่สามารถที่จะเทไปข้างหนึ่งข้างใดมาก ในวันข้างหน้าเราก็จะต้องคบกันอีก แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา