“พานทองแท้” ซัด “มูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ” เป็นการเมืองล้วน ๆ เชื่อใกล้เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็วิ่งแจ้นลงสมัคร ท้าแน่จริงให้ประกาศจะไม่ลงเลือกตั้ง เย้ยหวังใช้มูลนิธิเป็นหัวเชื้อป่วนเมือง เพื่อกู้ชีพให้พรรคในยามแพ้เลือกตั้งครั้งหน้า
วันนี้ (31 ก.ค.) นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Oak Panthongtae Shinawatra” ว่า ที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่นี่ มีใครกล้าพูดมั้ยครับว่า น่าจะมีสักคน ที่ไม่ใช่นักการเมือง..??
บอกเลย นักการเมืองล้วน ๆ 100% ครับ แต่ที่ปัจจุบันเรียกตัวเองว่านักการเมืองไม่ถนัดปาก เป็นเพราะว่าเมื่อเล่นกันตามเกม สู้กันตามระบอบประชาธิปไตย กลับต้องพ่ายแพ้เลือกตั้งทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ติดต่อกันมาร่วม 20 ปี มันก็ต้องใช้วิธีตุกติกนอกกติกา เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลกันบ้าง
ไม่ต้องย้อนยุคไปถึงตอนใช้ “วิชามาร” ส่งคนไปตะโกนในโรงหนัง เพื่อหวังจัดตั้งรัฐบาลหรอกครับ เอาแค่ 20 ปีที่ผ่านมา เขาทำกันอย่างไร พรรคฯที่แพ้เลือกตั้ง จึงจะได้เป็นรัฐบาลกับเขาบ้าง
ครั้งแรก ใช้ “วิชาหมองู” จับงูเห่าพลิกมาอยู่ข้างตัวเอง จึงได้เป็นรัฐบาล
ครั้งที่ 2 ใช้ “วิชาทหารราบ” จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงได้เป็นรัฐบาล
มาครั้งล่าสุด ใช้ “วิชานกหวีด” หวังปฏิรูปประเทศด้วยการเตะหมูเข้าปากทหาร แล้วคิดว่าจะเอื้อต่อพรรคพวกตนในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ปัจจุบันกลับส่งผลกระทบรุนแรงต่อ ภาวะเศรษฐกิจ ต้องซบเซาย่ำแย่กันไปหมด ทั้งในระดับเจ้าสัว ปานกลาง และรากหญ้า เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า บวกกับการไม่ยอมรับ จากเกือบทุกประเทศทั่วโลก เศรษฐกิจจึงจมดิ่งในทุกระดับ
“เรามาถึงจุด ๆ นี้ กันได้อย่างไร”
เริ่มจากนักการเมืองกลุ่มนี้หรือไม่? ที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน ด้วยการลาออกจากนักการเมือง แล้วสถาปนาตัวเอง เป็นมวลมหาประชาชน ปลุกม็อบปั่นป่วนบ้านเมือง เขี่ยลูกใส่พาน วิงวอนขอรถถังออกมาวิ่ง จนกระทั่งสำเร็จ
เมื่อทหารออกมายึดอำนาจ ได้ปกครองประเทศสำเร็จ ก็มีเหตุการณ์ที่ตัวหัวโจกนำป่วนเมืองดันผิดคิว ไปตลกบริโภคทวงบุญคุณทหาร ส่งใบเสร็จค่าป่วนเมือง 1,000 ล้าน ปรากฏไม่มีขุนพลคนไหนขำด้วย จึงต้องหนีไปบวช บ้านเมืองก็ทำท่าจะสงบอยู่พักหนึ่ง
ปรากฏว่า อยู่ ๆ ก็ลาสิกขาบท สึกออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็แผลงฤทธิ์ดอกแรกด้วยการทำหนังสือสั่งผบ.ตร. ไม่ให้ย้ายกองบัญชาการตำรวจภูธรฯ ออกไปจากจังหวัดตัวเอง ตามด้วยดอก 2 ใน 2 - 3 วันต่อมา ด้วยการแถลงข่าวการเมืองล้วน ๆ โดยอ้างชื่อมูลนิธิเป็นตัวบังหน้า อย่างที่เห็นกัน
การเมืองหรือไม่การเมือง เด็กอมมือมันก็ดูออกครับ คอยดูกันเถอะที่ว่าไม่เล่นการเมือง เรียงหน้ากันอยู่บนเวทีทั้งหมดนี่ พอใกล้เลือกตั้งเมื่อไหร่ วิ่งกลับเข้าสังกัดพรรค ลงเลือกตั้งแทบทั้งหมด เหลือไม่เกิน 1 - 2 คนหรอกที่อยู่เฝ้ามูลนิธิ คอยเป็นหัวเชื้อป่วนเมือง เพื่อกู้ชีพให้พรรคในยามแพ้เลือกตั้งครั้งหน้า คอยดูเถอะ
ย้ำกันอีกทีก็ได้ ที่เห็นยืนหน้าสลอนบนเวที บอกไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองกันอยู่นี่ คนไหนที่จะไม่ลงเลือกตั้งในครั้งหน้า ช่วยแมน ๆ กู้ศรัทธาคืน ด้วยการประกาศตัวออกมาให้ชัดเจนหน่อย
พวกสาวกนกหวีดก็เหมือนกัน เจ็บแล้วต้องจำกันบ้าง ครอบครัวจะอดตาย เงินเดือนน้อย ข้าวของแพง บางคนต้องตกงาน ในขณะที่ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ค่าเทอมลูกต้องจ่าย แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร
เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร..? เจ็บแล้วต้องจำกันบ้างครับ
ไม่ใช่ว่าพอยังมีลมหายใจกันอยู่ ก็เอาแต่เป่ากันอย่างเดียว
ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..ปรี๊ดด..!!