รองหัวหน้า ปชป.ย้อน กมธ.ยกร่างฯ เขียนเปิดช่องนายกฯ คนนอก เปิดทางรัฐบาลแห่งชาติ ตั้งธงทุกพรรคร่วมรัฐบาลขัดแย้งจะลด โดยไม่ดูบริบท อุดมการณ์ แนะปล่อยตามธรรมชาติการเมือง เชื่อทำยาก เชื่อ สปช.ปล่อยข่าวล้างผิดเซตซีโร่ เหตุเสพติดอำนาจ โชว์ผลงานให้เห็นว่าชี้นำสังคมได้เพื่อตำแหน่ง ไม่เชื่อเปลี่ยน “บิ๊กโด่ง” นั่งนายกฯ
วันนี้ (12 ก.ค.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวเสนอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ว่าตนเคยพูดเรื่องรัฐบาลแห่งชาติมาตั้งแต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพยายามเขียนเปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก โดยใช้เสียงพิเศษ 2 ใน 3 ของสภาฯ ที่ระบุเช่นนี้เพื่อเปิดทางไปสู่รัฐบาลแห่งชาตินั่นเอง แม้สังคมคัดค้านหนัก แต่แนวคิดนี้ยังคงอยู่ ไม่มีการจัดออกหรือแก้ไข เพราะเขาเชื่อว่าหากนำทุกพรรคการเมืองเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติจะสามารถขจัดความขัดแย้งลงไปได้ โดยไม่ดูบริบท แนวคิด อุดมการณ์การเมืองของแต่ละพรรค ถามว่าหากเป็นจริงใครได้ประโยชน์
“ผมว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติทางการเมืองดีกว่าการจับพรรคการเมืองมาคลุมถุงชน หากเป็นอดีตคงสามารถทำได้ง่าย แต่ในภาวการณ์ปัจจุบันเชื่อว่าทำได้ยาก เพราะแต่ละพรรคมีอุดมการณ์และแนวคิดต่างกัน การปล่อยข่าวหรือจุดพลุเรื่องรัฐบาลแห่งชาติในช่วงเวลานี้ คงไม่ใช่ทางออก”
เมื่อถามว่า เป็นการปล่อยข่าวของ สปช.บางสายที่คาดหวังให้มีการนิรโทษกรรมทางการเมืองโดยเซ็ทซีโร่กันใหม่ หรือไม่ นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ตนไม่มองว่าจะเป็นประโยชน์กับคนแดนไกล แต่ที่แน่ๆ เป็นประโยชน์กับคนแดนใกล้มากกว่า คือ สปช.บางกลุ่มบางขั้วที่จะหมดวาระแต่ยังเสพติดอำนาจก็พยายามตั้งกลุ่มต่างๆ ขึ้นเพื่อแสดงให้ผู้มีอำนาจเห็นว่าเขายังสามารถที่จะชี้นำความคิดทางสังคมผ่านสื่อได้ เพื่อจะได้ไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญต่อ เช่น ส.ว. หรือในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หากเป็นรัฐบาลแห่งชาติจริงอาจจะได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน ครม.
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่าจะมีการเปลี่ยนตัวให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผบ.ทบ.ขึ้นมาเป็นนายกฯ แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกฯ นั้น นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ตนเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนม้ากลางศึกในเวลานี้ อีกทั้งการยอมรับ บุคลิก และบารมียังห่างกันมาก แต่หากหลังการเลือกตั้งแล้ว และรัฐธรรมนูญยังระบุเปิดช่องให้มีนายกฯ คนนอกได้ เมื่อถึงเวลานั้นใครที่สามารถรวบรวมเสียง ส.ส.ในมือได้ 2 ใน 3 ของสภาต่างหาก จะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะเป็นนายกฯ แน่นอน