ผ่าประเด็นร้อน
คำพูดของ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย วิษณุ เครืองาม ที่ระบุว่า “คิดหนักเหมือนกัน” ว่าจะเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเท่าใดจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างว่าหากเรียกค่าเสียหายมาก รัฐบาลชุดนี้ (ที่เป็นผู้ฟ้อง) ต้องวางค่าธรรมเนียมศาลเป็นจำนวนมาก ซึ่งเขาบอกว่าน่าจะ “หลายพันล้านบาท” รวมไปถึงยังแสดงความเป็นห่วงอีกว่าหากฟ้องไปแล้วก็อาจจะแพ้คดี เสี่ยงต่อการถูกยึดเงินจำนวนดังกล่าวด้วย
“มีเรื่องหนึ่งที่อาจต้องคิดหนักหน่อย คือ การฟ้องเรียกค่าเสียหาย ไม่ว่าเอกชนจะเป็นคนฟ้องหรือรัฐเป็นคนฟ้องก็ตาม เมื่อเราเรียกว่าฟ้องทางแพ่ง มูลค่าเสียหายเท่าไรที่เราจะเรียก มันจะต้องไปเสียเงินที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งกระทรวงการคลังต้องนำไปวางก็หลายสตางค์ ถือว่าเยอะอยู่ คุณฟ้องเรียกมาก คุณก็ต้องมีเงินไปวางศาลมาก ซึ่งมูลค่าความเสียหายจริงมันมาก แล้วคุณไปเรียกเอาหมด เอาเข้าใจจะได้หรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะยังไม่รู้จะแพ้หรือชนะ จะต้องมีเงินไปวางศาลหลายพันล้านบาท ดังนั้น เงินที่รัฐต้องไปวางเป็นเรื่องที่ต้องคิด ถ้าเสียดาย ประหยัด ก็เรียกมันน้อยๆ ก็ถูกด่าเท่านั้นเอง ส่วนวงเงินเท่าไรก็ยังดูกันอยู่ แต่ว่าเยอะ” นั่นเป็นคำพูดของ วิษณุ เครืองาม ก่อนหน้านี้
ซึ่งก็พอสิ้นเสียงดังกล่าวก็มีเสียงตำหนิตามหลังมาดังลั่นทันที เสียงส่วนใหญ่ตำหนิตรงกันว่าไม่ควรต้องเสียดายกับการเสียเงินแบบนั้น หากต้องแลกกับการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคืนจากคนที่ทุจริตโกงงบประมาณแผ่นดินให้ได้คืนมา อีกทั้งนี่ยังป็นเจตนารมณ์ในการจัดการกวาดล้างการทุจริตของนักการเมืองที่ฉ้อฉลสร้างความเสียหานกับประเทศชาติ ไม่สมควรที่จะต้องมาคิดแบบนี้
นอกเหนือจากนี้ ยังข้อมูลที่ให้ความรู้ตามมาอีกว่า แม้ว่าเงินที่วางเป็นค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องแพ่งจะสูงเท่าไหร่ ซึ่งน่าจะ “หลายพันล้าน” จริง แต่นั่นก็เหมือนกับการ “ย้ายเงินหลวง” จากกระเป๋าซ้ายที่อยู่ในความดูแลของรัฐบาลไปกระเป๋าขวาไปอยู่ในความดูแลของศาลเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในกระเป๋าของ “เสี่ย” คนไหน และในที่สุดก็ต้องกลับมาคืนหลวงอยู่ดี
อย่างไรก็ดี แม้ว่าคำพูดของ รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย วิษณุ เครืองงาม ที่ลังเลเกี่ยวกับการฟ้องแพ่งที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมศาลหลายพันล้านบาทถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มาก และเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อบอกว่า “ลังเล” มันก็ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับเรื่องทุจริตที่มีความ “อ่อนไหว” ในความรู้สึก ประกอบกับในเส้นทางการเมืองในอดีตของตัวบุคคลมันก็ยิ่งทำให้คิดมาก เกิดความระแวงตามมาในทำนองนี่กำลัง “เกี๊ยเซี๊ยะ” ท่าดีทีเหลว เหมือนกับกรณี “ถอดยศ” ทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้ได้ทำลายความศรัทธาลงไปมากแล้ว
สำหรับความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากการสรุปตัวเลขจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีของกระทรวงการคลังที่มี สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังในสมัยนั้นเป็นประธานได้สรุปตัวเลขไว้ประมาณ 6 แสนล้านบาท และต่อมาทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ฟ้องอาญา ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และต่อมาก็ได้ฟ้องอาญานักการเมือง ข้าราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้องตามมา เช่น บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตข้าราชการกระทรวงพาณิชย์อีกจำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ในวันรุ่งขึ้น นายวิษณุ เครืองาม ก็ออกมายืนยันว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวก อย่างแน่นอนภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ ซึ่งก็ต้องติดตามรอดูกันต่อไปว่าจะจริงตามที่พูดหรือไม่ เพราะเริ่มไม่น่าไว้วางใจกันอีกแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาตามมา ก็คือ นี่คือบทเรียนที่จะสะท้อนไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าจะท้าทายความรู้สึกของชาวบ้านไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็คือ คำพูดที่บอกว่า “ลังเล” ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวกจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เพราะเรื่องแบบนี้อยู่ในใจของชาวบ้านมานานแล้ว จะเบี่ยงเบนบิดพลิ้วเป็นอย่างอื่นไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งก็ไม่ต่างจากเรื่องการ “ถอดยศ” ทักษิณ ชินวัตร ที่ท่าดีทีเหลว ทำลายศรัทธาไปก่อนหน้านี้
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีพลังเข้มแข็งอยู่ได้ ไม่ได้เป็นเพราะมีกำลังอาวุธ เป็นฝ่ายสนับสนุนหลัก แต่ขึ้นอยู่กับความ “ศรัทธา” ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มีให้ต่างหาก ดังนั้น อย่าล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้เป็นอันขาด !!