ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดศาลทหารก็ได้ยกคำร้องของพนักงานสอบสวนที่ยื่นขอฝากขังผลัดที่สอง หลังครบกำหนดฝากขังผลัดแรกในวันที่ 7 กรกฎาคม กับกลุ่มนักศึกษาจำนวน 14 คน ที่เรียกว่า “กลุ่มดาวดิน” เนื่องจากเห็นว่าไม่มีเหตุที่ต้องควบคุมตัวต่อไป จึงให้ปล่อยตัวทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข
อย่างไรก็ดีตาม ขั้นตอนของกฎหมายก็ต้องรอดูว่าอัยการทหารจะพิจารณาสั่งฟ้องกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวหรือไม่ หากสั่งฟ้องต่อศาลทหารก็จะต้องเดินไปตามขั้นตอนในการพิจารณาความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง 3/2558 ที่ออกโดยมาตรา 44 และมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี
แต่เอาเป็นว่าเมื่อรูปการณ์เป็นแบบนี้แล้ว ทุกอย่างก็คงจะผ่อนคลายลงมาแล้ว และสำหรับเด็ก ๆ นักศึกษาเหล่านี้ก็ถือว่า “ไฟแรง” ได้ทำหน้าที่ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง ต่อไปในอนาคตก็คงจะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาไปรับใช้สังคม รับใช้ประชาชน
แต่ปัญหาก็จะมีแต่กับพวกที่คอย “สุมไฟ” อยู่ข้างนอก ประเภท “หัวหงอกหัวดำ” ที่คอยแอบอยู่ข้างหลังเด็ก ๆ พวกนี้ต่างหากจะคิด “เกมใหม่” ออกมาเล่นกันต่ออย่างไรกันอีก เพราะถือว่าไฟที่อุตส่าห์ใช้ไม้ขีดก้านเล็ก ๆ จุดอยู่เป็นนาน ก็ถูกน้ำราดลงไปจนเกือบดับสนิทไปแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ลามในช่วงวันสองวันนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะก่อนที่จะมีการปล่อยตัวพวก 14 นักศึกษา บรรยากาศก็ถูกทำให้ตึงเครียด มีการปลุกระดมกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของการถูกควบคุมตัวแบบฝากขังผลัดแรกจำนวน 12 วัน มีการจัดกิจกรรมกันมาทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย โดยใช้สื่อในเครือข่ายช่วยประโคม อีกทั้งยังมีการใช้สื่อในสังคมโซเชียลฯเป็นอาวุธสำคัญในการกระพือ มิหนำซ้ำ ยังมีต่างประเทศ ตะวันตก องค์กรสิทธิมนุษยชน เข้ามากดดันผสมโรง ซึ่งแน่นอนว่าภาพของรัฐบาลทหาร เกิดขึ้นภายใต้การรัฐประหารของกองทัพ ฟังดูเผิน ๆ แล้วใช่เลย มันเข้าเงื่อนไขเป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่สำหรับประเทศไทย การรัฐประหาร และรัฐบาลทหาร มันมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากกว่านั้น และคำว่าประชาธิปไตย และประชาชนมีสิทธิเสรีภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ต้องมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะภายใต้รัฐบาลเลือกตั้ง ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ทุกอย่างกลับเลวร้ายยิ่งกว่า เพียงเพราะข้ออ้างว่า “มาจากการเลือกตั้ง” แล้วมาตบตาใช้นโยบายและอำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันแม้ไม่อยากจะพูดว่าเบื้องหลังของการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้ ก็ย่อมมีเครือข่ายที่เป็นแนวร่วมช่วยเหลือในการ “ออกแบบ” ซึ่งคนที่ติดตามมาตลอดก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก ความหมายก็คือ “ใช้เด็กจุดไฟ” โดยอาศัยความเป็นเด็ก “ไฟแรง” มีเลือดลมพลุ่งพล่านที่ต้องต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ซึ่งในวัยนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพียงแต่ว่าคนที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังต่างหากที่ต้องกระชากออกมาประจานกลางแจ้ง เพราะความหมายไม่ได้ต่างจากการใช้ “เด็กและผู้หญิง” บังหน้า
หันมาพิจารณาในมุมของฝ่ายอำนาจรัฐกันบ้าง ก็ต้องบอกว่าทันเกม ที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ดับไฟ ผ่อนร้อนลงไปได้ แม้ว่านาทีนี้เป็นเพียงแต่ “ลดไฟ” ลงมาเท่านั้น ยังไม่มอดสนิท เพราะรู้กันอยู่ว่าไฟแบบนี้ไม่มีทางดับให้สนิทได้หรอก เพียงแต่ว่าต้องป้องกันไม่ให้มีการสุมไฟเข้าไปใหม่ เพราะผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจลุกลามจนเอาไม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น จึงต้องระวัง โดยเฉพาะคำพูดที่อาจยั่วยุ และนำไปขยายผลแบบไฟลามทุ่ง ซึ่งที่ผ่านมา ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เลขา คสช. ซึ่งเป็นคนคุมเกมนี้อย่างใกล้ชิดทำได้ดี ไม่เสียรูปมวย มีทั้งเข้มข้นทางกฎหมาย และผ่อนปรนในบางสถานการณ์
อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกนั่นแหละว่านี่เป็นแค่ไฟมอดลงชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางที่จะดับสนิทลงไปได้ วันนี้เมื่อเงื่อนไขเก่าลดลง ก็ต้องรอจังหวะสร้างเงื่อนไขใหม่ ซึ่งก็ต้องจับตารอดูวันที่ 6 - 14 ตุลาฯ นี้ ว่า จะมีกิจกรรมอะไรมานำเสนอกันอีก !!