ผ่าประเด็นร้อน
ภายในสัปดาห์หน้าก็จะครบเวลา 1 ปีเต็ม นับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา และรัฐบาลที่มีผู้นำคนเดียวกันก็มีอายุกว่า 6 เดือนเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาแบบนี้มันก็สมควรที่ต้องมาพิจารณาถึงผลการทำงานกันบ้างว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
หากพิจารณาจากผลงานโดยรวมมาจนถึงวันนี้แบบพร้อมกันทั้ง ผลงาน คสช. และ รัฐบาล เพราะมีที่มาจากคนกลุ่มเดียวกัน หัวหน้าคนเดียวกัน ก็ต้องบอกตามตรงว่า “สอบผ่านแบบฉิวเฉียด” หรือเกือบตกแบบคาบเส้นกันเลยทีเดียว ที่บอกแบบนี้ออกไปในทางตก หรือเกือบตก เมื่อพิจารณาจากอำนาจเบ็ดเสร็จที่ที่มีอยู่ในมือ แต่เมื่อผลงานออกมาได้แค่นี้ก็ต้องบอกตามตรงว่า “น่าผิดหวัง”
แน่นอนว่าอีกไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะหมดข้ออ้างว่าเข้ามาแก้ปัญหาที่หมักหมมมานาน เพราะเมื่อเวลาผ่านไปนานนับปี ยังไม่เห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน มันก็น่าลำบากใจเหมือนกันที่จะชมเชย
แม้ว่าจะอ้างว่ามีผลงานด้านความมั่นคง บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย นั่นก็อาจจะจริง แต่นั่นเป็นเพราะมีกฎหมายพิเศษกดเอาไว้ อีกทั้งยังมีประชาชนอีกจำนวนมากยังให้โอกาส เพราะยังไม่อยากให้ ระบอบทักษิณ และพวกนักการเมืองที่น่ารังเกียจเข้ามาอีก จึงอดทนรอไปอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อย ตัวการที่ทำลายศรัทธาคือ “เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน” ทั้งใน คสช. และในรัฐบาลยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็น
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากความมุ่งมั่นตั้งใจของตัวผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนใหญ่ยังให้ “สอบผ่าน” ถือว่ามีผลงานโดดเด่น ยังให้ความหวัง และชวนให้ติดตามต่อไป
อย่างไรก็ดี หากสังเกตให้ดีนั่นเป็นลักษณะที่เป็นแบบ “เก่งอยู่คนเดียว” ขณะที่คนรอบข้างผลงานออกมาไม่เอาอ่าว ทำงานไม่ต่างจากข้าราชการประจำ ไม่มีผลงานที่โดดเด่น หรือไม่ก็ล้มเหลว ไม่มีแม้กระทั่งสีสันให้จดจำด้วยซ้ำไป
หากยังมีความเห็นแย้ง ก็ลองคิดทบทวนดูก็ได้ว่า ผลงานแต่ละด้านนอกเหนือจากเรื่องความมั่นคงแล้ว พิจารณาจากผลงานด้านเศรษฐกิจปากท้อง ชาวบ้านมีความแฮปปี้แค่ไหน ถามเรื่องราคาสินค้าเกษตรหลักๆ ในแต่ตัว ตั้งแต่ราคาข้าว ยางพารา ไม่เว้นแม้แต่ราคาปาล์มน้ำมัน ก็ราคาตก อาจจะอ้างว่าเป็นเพราะตลาดโลกซบเซา แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงทั้งหมดหรือเปล่า ทำไมการส่งออกของเราในไตรมาสแรกถึงได้ติดลบ จนต้องลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่เดิมว่าจะโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 เป็นเหลือร้อยละ 3 และมีแนวโน้มว่าจะไม่ถึงเสียแล้ว ทำไมมีคำถามถึงเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผล นี่คือ ผลงานของกระทรวงเศรษฐกิจ ตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง สามารถผลักดันผลงานออกมาเป็นเนื้อเป็นหนังได้บ้าง นอกเหนือจากโครงการเก่าที่ต้องเดินหน้า แต่ดูยังไม่คืบหน้าสักเท่าใดนัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ที่ต้องยอมรับความจริงว่า ผลงานการส่งออก การควบคุมราคาสินค้ายังทำได้ไม่ดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รวมทั้ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ อำนวย ปะติเส ในระยะหลังแทบหายไปจากจอเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ต้องยอมรับความจริงว่ายังไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐมนตรีอีกหลายคนแทบจะไม่เป็นที่รู้จัก ลักษณะเหมือนกับทำงานไปวันๆเท่านั้น ซึ่งมีรัฐมนตรีในลักษณะแบบนี้เกินครึ่ง
ดังนั้น หากพิจารณาโดยภาพรวมๆแล้วถือว่าทั้งรัฐบาลเหมือนกับว่ามีคนทำงานและผลักดันแบบเต้นแร้งเต้นกาอยู่คนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น ลักษณะความโดดเด่นตอนนี้ไม่ต่างจาก “วันแมนโชว์” ขณะที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ แทบจะไม่มีความหมาย ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดดูเหมือนว่าการปรับคณะรัฐมนตรีคงจะไม่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบุคลิกทหารที่ต้อง “กอดคอไปด้วยกัน” แต่สำหรับภารกิจการบริหารบ้านเมืองมันก็ต้อง “ปรับ” อย่างต่อเนื่องที่ชอบอ้างว่าเพื่อความเหมาะสมนั่นแหละ และเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาประกอบแล้ว 6 เดือน และ 1 ปี ถือว่าน่าจะได้เวลาแล้ว !!