ผ่าประเด็นร้อน
“ไม่ได้ เพราะไม่มีหน้าที่ตรงนั้น อะไรที่เป็นหน้าที่ของการเมือง หรือเกี่ยวข้องกับการเมือง ทำไม่ได้หมด ทำได้เพียงการร่วมประชุมกับศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ถ้าอยากจะพบปะกัน ผมกำลังให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ดูรายละเอียดว่าจะประชุมพรรคกันที่ไหนอย่างไร แต่ต้องไม่ใช่การประชุมอิสระ เพราะประชุมกันอยู่แล้ว ทางโทรศัพท์ก็สามารถคุยกันได้ แต่ถ้าอยากประชุมพรรคให้ไปที่ ศปป.จะจัดห้องไว้ให้ แล้วจะให้คนไปนั่งฟังด้วย”
เมื่อถามว่า สิ่งที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ทำ สามารถถือว่าผิดคำสั่ง คสช.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “ท่านเป็นใคร ควรจะรู้หรือไม่ ว่าควรต้องทำอะไรอย่างไร ไปถามท่านโน่น เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เคารพท่านอีก แต่นี่เคารพอยู่ เพราะท่านเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา ถ้าท่านทำไปมากกว่านี้ และผิดพลาดมากกว่านี้ คนก็มาเล่นงานผมอีก แต่อย่าลืมว่าท่านไปอยู่กับรัฐบาลมาก่อน และไม่ได้อยู่ข้างรัฐบาลผม ฉะนั้นท่านก็อยู่ในข่ายเหมือนกัน แต่ผมเคารพท่านเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วในฐานะทหารเก่า และไม่เคยดูถูกท่าน ในความเป็นคนเก่งของท่าน แต่วันนี้ท่านอายุเยอะแล้วนะ”
นั่นเป็นเป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้ความเห็นอย่างชัดเจนต่อความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจน เป็นการแสดงท่าทีที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องอ้อมค้อมตีความให้เสียเวลา ความหมายก็คือ “ให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หยุดการเคลื่อนไหวอย่างที่เป็นอยู่ในทันที เพราะถือว่าเป็นนักการเมือง อยู่ในสังกัดกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล”
ในความเป็นจริงก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หวังผลทางการเมือง เริ่มตั้งแต่การเดินสายพบปะกับมวลชนที่เป็นอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในจังหวัดนครพนม และในช่วงเวลาเดียวกันก็มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว โดยอ้างว่ามาทำบุญ จากนั้น พล.อ.ชวลิตก็ได้เดินสายไปยังจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคอีสาน และล่าสุดก็เดินทางไปพบกับเกษตรกรชาวนาภาคกลางในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
แต่ก่อนหน้านั้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ไปปรากฏตัวและร่วมรายการให้สัมภาษณ์ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี ดำเนินรายการโดย จตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงก็มีภาพปรากฏว่าเขาได้ร่วมรับประทานอาหารและร่วมสนทนากับบรรดาผู้บริหารพีซทีวี เช่น วีระกานต์ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นต้น และนำไปสู่การสั่งปิดสถานีดาวเทียมดังกล่าวในเวลาต่อมา
นี่คือภาพที่เห็นชัดเจนว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แม้ว่าจะพยายามทำให้เนียนแค่ไหน แต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน และที่สำคัญเป็นการ “ดึง พล.อ.ชวลิต” ออกมาใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น
ตัดกลับมาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่คงได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ “ผิดปกติ” และคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้ ต้องรีบ “จัดการเบรก” อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะลุกลามบานปลาย นั่นคือเป็นที่มาของการ “เบรกหัวทิ่ม” ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หากมีการปะติดปะต่อกันก็จะได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ “น่าจะ” เชื่อมโยงกันได้อย่างสังเกตได้ นั่นคือความเคลื่อนไหวจาก “ภายนอก” เริ่มจากคิวเดินสายของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีกำหนดเดินทางมาที่กรุงโซล เกาหลีใต้ วันที่ 19-20 พฤษภาคม ตามกำหนดการแจ้งว่า เพื่อมาร่วมแสดงปาฐกถาพิเศษร่วมกับระดับผู้นำโลกอื่นๆ มีความพยายามแสดงออกแบบ “ตีปี๊บ” ให้ใหญ่ผิดปกติ มีการรายงานความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลกันอย่างเต็มที่ ที่สำคัญยังมีการโพสต์ข้อความว่าเป็นครั้งแรกที่จะได้อุ้มหลานฝาแฝดที่นั่นด้วย
จากนั้นในกำหนดการไล่เลี่ยกัน คือ ในวันที่ 23 พฤษภาคม ที่นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยฯ และอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย สุนัย จุลพงศธร มีกำหนดไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญของ คสช. และแน่นอนเช่นเดียวกันว่า ต้องเลยเถิดมาถึงเรื่องการบริหาร การใช้อำนาจอยู่แล้ว
ทั้งสองเรื่องแน่นอนว่า ย่อมตัองสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อย่างเลี่ยงไม่ได้ และนี่จึงอาจเป็นลักษณะของการ “ตีกระหนาบ” เข้ามาทั้งนอกและข้างใน เข้ามาแบบแซนด์วิช จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งไม่ติด ต้องออกแอ็กชันเข้มๆ อย่างที่เห็นว่างานนี้ “เกรงใจกันไม่ได้” ต้องเด็ดขาด โดยเฉพาะภายในที่ควบคุมได้ ต้องหยุดให้สนิท!!