ช่องแดงยกคณะยื่นหนังสือ “ประยุทธ์” ขอความเป็นธรรมถูกถอนใบอนุญาต ย้อนพบทูตบอกบริหารชาติเพื่อ ปชต. แต่กลับปิดหูปิดตา ปชช. ข้องใจมีใบสั่งหรือไม่ ติง กสทช.ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน เผยกระทบถึงญาติพี่น้องพนักงาน ขอให้คนรัก ปชต.แสดงความเห็น ลั่นยังปิดอยู่จะโวยให้โลกได้ทราบ
วันนี้ (30 เม.ย.) ที่ศูนย์บริการประชาชน (ฝั่งก.พ.) นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ กรรมการบริหาร บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด พร้อมด้วยพนักงานประมาณ 7 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอความเป็นธรรมและชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเพิกถอนใบอนุญาตออกจากช่องรายการพีซทีวี เป็นผลจากมติ 4 ต่อ 1 ของที่ประชุมคณะกรรมการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) โดยมีนายพีระ ทองโพธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเป็นตัวแทนรับเรื่อง
โดยนายธนาวุฒิกล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้มาในฐานะแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แต่มาในฐานะผู้ร่วมดำเนินรายการช่องพีซทีวี ในวันนี้ที่มายื่นหนังสือถึงนายกฯ เพราะเห็นว่าเป็นนายกฯ ของพี่น้องประชาชน แม้ว่าจะมาจากทางไหนก็ตาม ฝากบอกนายกฯ บอกกับ คสช.ด้วยว่า คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตออกอากาศได้อ้างถึงรายการ “มองไกล” ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นผู้ดำเนินรายการนั้นฝ่าฝืนคำสั่ง เพราะฉะนั้นจึงมาขอความเป็นธรรม สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้นัดแนะกับทูตานุทูตเพื่อบอกล่าวในการดำเนินการปกครองบริหารประเทศไทยให้ดำเนินไปเพื่อประชาธิปไตยนั้น หากในประเทศไทยยังปิดหูปิดตาประชาชนอยู่มันก็ยังไม่สามารถเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
“ฝากบอกให้หัวหน้า คสช.ไปพูดคุยกับทาง กสทช.ด้วยว่า การที่ปิดพีซทีวีครั้งนี้มันเป็นไปด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ ใครสั่งมาหรือไม่อย่างไร นอกจากพนักงงาน 100 กว่าชีวิตแล้วยังอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่แก่ญาติพี่น้องเป็นร้อยเป็นหมื่นชีวิตก็เป็นได้ หากว่ายังมีการดำเนินการปิดพีซทีวีต่อไป เราก็จะยื่นหนังสือต่อไปเรื่อยๆ ให้โลกได้รับทราบว่าที่นายกฯ ต้องการให้ประชาธิปไตยเช่นไร แต่ยังปิดหูปิดตาประชาชน โลกก็ต้องทราบว่าประเทศนี้ต่อไป จะต้องปิดประเทศ แช่แข็งประเทศแน่นอน” นายธนาวุฒิกล่าว
ด้าน น.ส.อรุโณทัย ศิริบุตร หัวหน้าผู้ประกาศข่าวพีซทีวี กล่าวว่า อยากให้นายกฯ ใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งการให้ทาง กสทช.ใช้กระบวนการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่เฉพาะพีซทีวี ให้เป็นไปตามมาตรา 37 กสทช.มีอำนาจที่จะสั่งปิดถ้าเราทำผิดจริง แต่ควรจะเป็นไปตามกระบวนการในการไต่ระดับความผิดทั้งการแจ้งเตือนหรือปรับขั้นต้น และการสั่งปิดชั่วคราวก่อนนำไปสู่การปิดถาวร หลังจากที่พีซทีวีปิดชั่วคราวไป 7 วัน การถูกสั่งปิดอีกครั้งจากรายการดังกล่าวก็ยังเข้าข่ายการปลุกปั่น เป็นภัยต่อความมั่นคง โดยที่ กสทช.และ กสช.ไม่ได้ทำหนังสือแจ้งเพื่อให้สถานีไปชี้แจง ถือว่าครั้งนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติตามขั้นตอน จึงมาขอความเป็นธรรมในบรรยากาศที่บ้านเมืองกำลังสร้างความปรองดองและบรรยากาศที่รัฐธรรมนูญกำลังจะเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง พีซทีวีเป็นช่องหนึ่งที่แสดงความเห็นของผู้รักประชาธิปไตย เราต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สะท้อนกลุ่มคนที่สะท้อนรัฐธรรมนูญอย่างสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามการมาขอความเป็นธรรมครั้งนี้ไม่ได้เพื่อพีซทีวีเพียงอย่างเดียว แต่อยากเป็นไปตามมาตรฐานลำดับเหตุการณ์ในการลงโทษเป็นมาตรฐานเดียวกัน