ผ่าประเด็นร้อน
“ผมยังวิเคราะห์อยู่ว่าทำไมกลุ่มผู้ก่อเหตุต้องเลือกมาทำที่เซ็นทรัลสมุย ผมไม่อยากชี้นำ ทำที่หาดใหญ่ง่ายด้วย ปลอดภัยด้วย แต่ทำไมต้องขับรถบรรทุกระเบิดมาไกลกว่า 300 กม. เสี่ยงจากการถูกจับ เพราะฉะนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าเกี่ยวกับการเมืองพอสมควร แต่ไม่รู้มันเกี่ยวกับใครบ้าง-ตอบไม่ได้ หากเป็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวทำไมต้องมาทำกับห้างเซ็นทรัล แค่เอาประทัดยักษ์มาขว้างใส่ก็พอแล้ว ส่วนนักการเมือง ยังไม่มีการเชิญใครมาสอบสวน แต่เราก็มีข้อมูลอยู่เหมือนกัน”
“ตำรวจเรามีข้อมูลว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ มีพวกนักการเมืองเก่าๆ ลงมาในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเรากำลังตรวจสอบอยู่ แม้เป็นนักการเมืองเก่าๆ ก็มั่นใจว่าพอจะมีศักยภาพเหมือนกันในขณะนี้ มันไม่มีอะไรมาเหนือการเมืองหรอก ขอให้ใจเย็นๆ จับกุมได้แน่นอน”
นั่นเป็นคำพูดของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่รับผิดชอบคดีด้านความมั่นคง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งให้ข้อมูลยืนยันค่อนข้างแน่ชัดว่าการวางระเบิดคาร์บอมบ์ที่ชั้นจอดรถของห้างเซ็นทรัลสมุย เมื่อค่ำวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ต้องเชื่อมโยงนักการเมืองและกลุ่มการเมืองพร้อมทั้งมั่นใจว่าจะ “ต้องจับกุมได้” แน่นอน
หากพิจารณาจากคำให้สัมภาษณ์จากหลายฝ่าย ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลที่มีการแถลงจากรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ระบุภายหลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมงว่าลักษณะระเบิดเป็นแบบเดียวกับที่เกิดเหตุในกรุงเทพฯ และฝีมือของนักการเมือง “กลุ่มอำนาจเก่า” จัดฉาก รวมไปถึงการแกะรอยตามเส้นทางที่คนร้ายนำรถที่ดูเหมือนว่าทำทีปล้นมาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แล้วขับมาก่อเหตุในเกาะสมุย เพื่อตบตาให้เห็นว่าเป็นการก่อเหตุของพวกโจรก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ขยายพื้นที่ขึ้นมาก่อเหตุในจังหวัดอื่นที่เป็นเขตเศรษฐกิจ
เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่คนสำคัญเพียงแต่ว่ายังยืนยันตัวตนไม่ได้ว่าเป็นใครที่กล่าวว่าคนร้ายได้เตรียมก่อเหตุในลักษณะเดียวกันที่จังหวัดภูเก็ต เพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่สามารถกู้ระเบิดเอาไว้ได้เสียก่อน ซึ่งก็สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวในเวลานี้ที่มีการสั่งเฝ้าระวังกันอย่างเข้มงวด
ดังนั้น หากพิจารณาจากข้อมูลและความมั่นใจของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายตำรวจและทหารที่เวลานี้ประสานเสียงไปในทางเดียวกันแล้วว่า “โยงการเมือง” และต่อมาก็มีการชี้เพิ่มเติมตามมาว่าเกี่ยวข้องกับ “คนแดนไกล” คนนั้น ซึ่งต่อมา ทักษิณ ชินวัตร ก็โผล่ออกมาทวีตปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง อ้างว่า “หยุดแล้ว”
เมื่อพิจารณาจากทิศทางน้ำเสียงแต่ละคน โดยเฉพาะจากฝ่ายตำรวจที่เป็นคนทำคดี ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดจากฝ่ายทหาร ก็พอมั่นใจได้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีการ “ออกหมายจับ” คนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ และนำไปสู่การจับกุม ซึ่งขั้นตอนนี้ยังเชื่อว่าไม่น่าจะนานเกินรอ
แต่ต้องเข้าใจว่านี่เป็นแค่ระดับลงมือปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่ใช่ระดับนักการเมืองในภาคใต้ที่รับงานมาสั่งการ ซึ่งในระดับนี้ยังให้น้ำหนักแบบห้าสิบห้าสิบ ว่าจะมีการจับกุมหรือเปล่า ส่วนระดับคนบงการจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่แดนไกลหรือแดนใกล้แค่ไหนยิ่งไม่กล้าฟันธงว่าจะจับกุมหรือไม่
แต่เอาเป็นว่าการก่อเหตุที่เกาะสมุยในครั้งนี้มีเบาะแส ทิ้งร่องรอยหลักฐานให้ตามแกะรอยได้พอสมควร อีกทั้งเมื่อกล้าฟันธงว่าเป็นฝีมือของกลุ่มการเมือง กลุ่มอำนาจเก่า นั่นย่อมต้องมีข้อมูลชี้ให้เห็นเบาะแสที่ติดตามมานานแล้ว
ขณะเดียวกัน ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ออกหมายจับคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ ก็ลองมาพิจารณาว่า “คนแดนไกล” คือใครกันแน่ ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังเดาไม่ออก แต่เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสั่งการลอบวางระเบิดในเกาะสมุย โดยยืนยันว่าตัวเองหยุดแล้ว และยังเป็นการตอบโต้ พระสุเทพ ปภากโร อดีตแกนนำ กปปส. ที่ออกมาระบุถึง “คนแดนไกล” คำพูดดังกล่าวของ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้นึกถึงเรื่องคนแดนไกลเข้ามาทันที รวมทั้งที่ผ่านมาบรรดาลูกน้องของ ทักษิณ ที่ต้องออกมาปฏิเสธกันพัลวันว่า ทักษิณ ไม่เกี่ยว ทั้งที่คนที่ออกมาพูดนี้เกือบทั้งหมดไม่ว่าทักษิณ จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวคนพวกนี้ก็ไม่มีทางไปรับรู้ เพราะเป็นแค่ระดับปลายแถวชั้นนอกสุด
ดังนั้น ถ้าให้สรุปจากแนวโน้มนับจากนี้ จากคำให้สัมภาษณ์ของฝ่ายตำรวจที่ควบคุมคดี จากฝ่ายรัฐบาลและทหารที่กำกับดูแลคดีอีกชั้นหนึ่ง ที่ระบุออกมาในทำนองว่ารับรู้ข้อมูลและทิศทางการเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่อง ไม่หลงประเด็นตามการจัดฉากที่ว่า จึงมั่นใจว่าจะต้องมีการจับกุมคนร้ายได้อย่างแน่นอน แต่คำถามก็คือที่เหนือไปกว่านั้นก็คือคงบงการ ที่เป็นนักการเมืองที่อยู่ใกล้และที่สำคัญจะสาวไปถึงคนแดนไกลคนนั้นได้หรือไม่ หรือว่า “ไม่กล้า” !!
