xs
xsm
sm
md
lg

“อภิสิทธิ์” จี้รัฐแสดงจุดยืนสานสัมพันธ์สหรัฐฯ-อียูได้ในอนาคต เชื่อกดดันมากเหตุรับข้อมูลด้านเดียว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (แฟ้มภาพ)
อดีตนายกรัฐมนตรีชี้จีน-รัสเซีย-ญี่ปุ่นไร้ข้อจำกัดการเมืองทำดำเนินสัมพันธ์ไทยได้เต็มที่ จี้รัฐแสดงจุดยืนกับตะวันตกไม่มีปัญหาเพิ่มพูนสัมพันธ์ในอนาคต เผยเคยเตือนอียูหากหยุดทุกอย่างจะเสียสมดุล บอกมะกัน-ยุโรปกดดันมากกว่าปี 49 ไม่ผิดปกติ เชื่อคงได้ข้อมูลไม่สมดุล มองการละเมิดสิทธิในรัฐบาลเลือกตั้งไม่ออก แถมเจอพวกล็อบบี้เล่าความด้านเดียวทำปมรุนแรงขึ้น รับ ม.44 ไม่ง่ายที่จะทำให้ต่างชาติเข้าใจ

วันนี้ (15 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มองการวางนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ที่มีการสร้างสัมพันธ์กับประเทศรัสเซียและจีนมากขึ้นว่า รัฐบาลทำงานภายใต้ข้อจำกัด เนื่องจากมิตรประเทศบางภูมิภาคมีแนวปฏิบัติที่เป็นกฎกติกาภายในทำให้ไม่สามารถดำเนินงานที่มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยได้เต็มที่ แต่มีมิตรประเทศบางส่วนที่ไม่มีข้อจำกัด รัฐบาลจึงสามารถทำงานร่วมกับจีน รัสเซีย หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น ในขณะที่โลกตะวันตกไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ เป็นไปโดยธรรมชาติ

ส่วนจะทำให้เสียดุลยภาพทางการต่างประเทศหรือไม่นั้น อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าไม่ใช่ข้อจำกัดที่เราต้องการ เมื่อเขาตัดสินใจว่าไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับไทยได้อย่างปกติก็ต้องยืนยันว่าไม่มีปัญหาในการเป็นมิตรและพร้อมเพิ่มพูนความสัมพันธ์ต่อไปในอนาคต จึงอยู่ที่ทางประเทศเหล่านั้นเองว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งทุกครั้งที่ตนได้พบกับผู้แทนของอียูจะบอกเสมอว่างานด้านการค้าการลงทุนที่เกี่ยวกับการเจรจาระดับเทคนิคหรือเจ้าหน้าที่น่าจะเดินต่อได้ แต่ถ้าจะมีจุดยืนว่าไม่ทำข้อตกลงกับรัฐบาลที่ไม่มาจากการเลือกตั้งก็สามารถประกาศได้ แต่การหยุดทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและเสียสมดุลของความสัมพันธ์ซึ่งเขาก็รับฟังว่าจะไปพิจารณาปรับแก้ได้หรือไม่

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงท่าทีของสหรัฐอเมริกาและอียูที่กดดันไทยในช่วงเวลานี้มากกว่าการรัฐประหารในปี 2549 ว่า ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติอยู่แล้วแต่มีการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันในบางประเทศ เช่น ประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ผู้นำเขาก็ไปเยือนมีการอ้างว่าเพราะประเทศเหล่านั้นไม่ได้เป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น ส่วนเหตุผลจะฟังขึ้นหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง

“ข้อมูลที่เขาได้รับเป็นข้อมูลที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะการมองปัญหารัฐประหารว่ามีการจำกัดสิทธิเสรีภาพมองเห็นง่าย แต่เวลาที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้ามาทำสิ่งที่ไม่ดี ระดมคนข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเหมือนกันต่างประเทศมองไม่ออก จึงมองแค่ว่าปฏิวัติไม่มีการเลือกตั้งเป็นเผด็จการ แต่เวลาที่มีการเลือกตั้งแล้วทำตัวเหมือนเผด็จการเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้เต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวล็อบบี้เพื่อให้ต่างประเทศรับรู้ความจริงด้านเดียวทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ส่วนกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรา 44 จะทำให้ต่างชาติมีความเข้าใจมากกว่ากฎอัยการศึกหรือไม่นั้น นายอภสิทธิ์มองว่าต่างชาติก็ยังเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจพิเศษขึ้นอยู่กับว่าเขาดูรายละเอียดมากน้อยแค่ไหน แต่ตนอยากให้ระมัดระวัง เพราะล่าสุดมีการออกคำสั่งเพิ่มบทบาททหาร แม้ในมุมที่เรามองเป็นการบังคับใช้กฎหมายแต่จะทำให้เกิดคำถามมากขึ้นว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่บ้านเมืองฝ่ายอื่นไม่บังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีกฎอัยการศึกหรือไม่ มาตรา 44 ก็มีอยู่ดีและสามารถใช้แบบเบ็ดเสร็จโดยไม่ต้องมีหลักเกณฑ์ การออกมาก็คงเพราะพยายามให้มีหลักเกณฑ์แต่ไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจกับคนที่อยู่ห่างไกล


กำลังโหลดความคิดเห็น