นายกฯ เผยกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำทั้งระบบ คาดไตรมาส 2-3 ดีขึ้น แจง สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถนนรถไฟเชื่อมเพื่อสร้างโอกาส ย้ำเศรษฐกิจตกเพราะธุรกิจสีเทาเจอปราบ เร่งการค้าเพื่อนบ้าน เล็งเปิดตลาดหมู่เกาะตะวันออกกลาง แถลงผลงานเผยทุกปัญหา เล็งตั้งโรงงานพัฒนาไบโอดีเซล ดันปลูกปาล์มน้ำมันแก้ปัญหายาง บ่นสื่อมีอะไรก็ลงที่ตนคนเดียว รับเตือนตัวเองไม่ให้โมโหมาก หวั่นเส้นโลหิตแตกตาย
วันนี้ (30 มี.ค.) ที่กระทรวงคมนาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2558 ถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า วันนี้ต้องทำทั้งระบบ การกระตุ้นค่าใช้จ่ายในประเทศทั้งหมดนั้นเกิดด้วยงบประมาณภาครัฐซึ่งผ่านขั้นตอนเยอะพอสมควร คิดว่าในไตรมาส 2-3 จะดีขึ้น เพราะการจัดซื้อจัดจ้างมันเกิดแล้ว โดยที่ผ่านมานั้นโอนเงินไปอย่างเดียว ซึ่งเราตั้งคณะกรรมการแล้ว ภายใน 30 วัน เมื่อก่อน 3 เดือนยังทำไม่ได้เลย เพราะมัวแต่อะไรกันอยู่ไม่รู้ วันนี้เราต้องทำสัญญาให้ได้ บริษัทก็เริ่มลงมือ จากนั้นจึงจะเกิดเศรษฐกิจเชื่อมโยง ในการทำถนนเส้นทางซึ่งจะมีการจ้างแรงงานคน ก็จะมีการใช้สอย ฉะนั้นเราต้องสร้างโอกาสสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา สร้างถนนรางรถไฟเป็นตัวเชื่อมต่อ ซึ่งเป็นตัวกติกา หรือแผนในอนาคตของประเทศต้องเริ่มด้วยเส้นทางคมนาคมไปมาซึ่งกันและกัน จากชุมชนสู่ประชาคมโลก และเราต้องมาคิดว่าประเทศไทยจะมาค้าขายอะไร ผลิตเครื่องบินขายเหรอ มันทำไม่ได้ เรามีการเกษตรก็ต้องปรับเป็นแนวใหม่ ลดต้นทุนการผลิต สร้างตัดชุมชนทุกจังหวัด ทั้งนี้เศรษฐกิจที่มันตกเพราะธุรกิจสีเทาแบบไม่ใหญ่โตที่หายไป ที่ทำให้คนยากคนจนที่ไม่มีอาชีพนั้นลำบาก ซึ่งปล่อยมานาน อย่างคนที่อยู่ริมคลองต้องลอกคลองก็ขยับคนเดือดร้อนกันอีก อย่างคลองลาดพร้าว แล้วมันผิดกฎหมายหรือไม่ ก็ผิด จะต้องทำยังไงไม่รู้ สั่งไปหมดแล้ว เมื่อไม่ขุดคลองน้ำก็ท่วม มันเหมือนเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด
ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 นั้น นายกฯ กล่าวว่า ต้องประเมินว่าอะไรที่มันจะเกิดขึ้น คือ งบประมาณที่ออกมามากขึ้น คนก็มีงานทำมากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเอง ส่วนกับต่างประเทศก็มีการสร้างความเข้มแข็งในการสร้างโรงงานเพิ่ม การส่งเสริมการลงทุนนั้น จะเกิดเมื่อไหร่ 3 ปี ที่แล้วถ้ายังไม่ได้ตั้งก็ตัดสิทธิ์ไป วันนี้ก็ต้องเร่งการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ตนจับเข่าคุยกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ต้องช่วยกัน แต่ละประชาคมโลกต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เช่น อาจตั้งโรงงานฝั่งกัมพูชา ศูนย์แลกเปลี่ยนอยู่ฝั่งไทย หรือเราจะไปกระจายสินค้าต่อ ตนเร่งไปในเรื่องประเทศหมู่เกาะ ประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งที่ผ่านมามันไม่ได้เร่งตรงนี้ก็ไปเร่งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ พอตลาดระดับบนตกความต้องการก็ลดลง แบบนี้เรียกว่าเตรียมมาตรการลดความเสี่ยง มีภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ไม่ทุจริต ต้องเอามาใช้
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การแถลงผลงานของรัฐบาลนั้นจะต้องพูดให้หมดว่าปัญหานั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไร เราทำอะไรบ้างตั้งแต่ 22 พ.ค. ระยะที่ 1-3 อีกกี่ปีจะเสร็จไม่รู้ เพราะว่าคนเยอะขึ้น น้ำลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ คนเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ วันหน้าจะเกิดสงครามแย่งน้ำหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าไม่มีการจัดสรรน้ำ ป่าก็ยังตัดกันอยู่แบบนี้ ถามหน้าคนที่ตัดไม่เผาป่าหน้ามันพูดรู้เรื่องไหม ผมบอกขนาดว่าวันนี้ให้ใช้เครื่องบินที่กระจายข่าวของทหารเรือที่เรียกว่าเครื่องบินปากหมา เพราะเสียงดัง และวิทยุต้องพูดภาษาถิ่น พูดภาษากลางไม่รู้เรื่อง เช่น จับให้ม้งขึ้นเครื่องบิน แล้วพูดตามที่เขียนไว้ สื่อสารให้ตรงกัน
นายกฯ กล่าวถึงการลงทุนของต่างชาติในเขตเศรษฐกิจพิเศษว่าอย่าไปแยกกัน เพราะเป็นบีโอไอด้วย ปีนี้ 3-4 พันโรงงาน เขาก็จะดูว่ามีที่หรือไม่ แล้วชวนมาลงทุน แล้วสร้างถนนเส้นทางเพิ่มเติม และสร้างแรงจูงใจในการลงทุน สำหรับภาคเอกชนไทยในทุกจังหวัดนั้นก็เริ่มขยับให้ความสนใจแล้ว วันนี้ต้องกระจายอุตสาหกรรมในชนบท จะได้มีแหล่งจ้างงานจะให้ชาวนาทำงานทั้งบ้านตนไม่คิดแบบนี้ ไม่อย่างนั้นก็จนตายไม่มีอะไรกิน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาราคายางว่า ตนได้ถามผู้นำอินโดนีเซียว่ามีปัญหาเรื่องยางหรือไม่ เขาตอบว่าไม่ค่อยมี เพราะวันนี้เศรษฐกิจเขางบดุลนั้นสมดุลกัน ส่วนประเทศมาเลเซียนั้นเขาปรับไปปลูกปาล์มน้ำมันแทนเมื่อ 20 ปีก่อน ตนถามว่าประเทศไทยมีนโยบายเรื่องนี้เมื่อไหร่ ยังไม่มีเลย วันนี้มาเลเซียมีปาล์มน้ำมันเยอะกว่ายาง แล้วเขาควบคุมตรงนี้ได้ ไม่ปลูกนอกพื้นที่ ไม่บุกรุกป่า บ้านเราทำหรือยัง วันนี้มีการบุกรุกป่าประมาณ 1 ล้านกว่าไร่ โดยการสนับสนุนของอะไรที่ผ่านมาตนไม่รู้ ซึ่งเมื่อราคาตกก็เกิดปัญหา โดยปาล์มน้ำมันนั้นสามารถนำไปทำไบโอดีเซล เราคิดแล้วเดี๋ยวจะตั้งโรงงานพัฒนาไบโอดีเซล จากบี 5 เป็นบี 7 บี 10 ทั้งนี้ต้องควบคุมพื้นที่การปลูก และดูแลเยียวยาหาอาชีพให้ประชาชนที่บุกรุกพื้นที่ป่าด้วย และจดทะเบียนว่าใครทำอาชีพอะไร ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องภาษี แต่ต้องมีการทำศูนย์ข้อมูลให้ชัดเจน เพื่อจะได้รู้ใครรวยใครจน เพื่อช่วยเหลือดูแลประชาชนได้เป็นระบบ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงคมนาคมว่า โดยก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน พล.อ.ประยุทธ์ได้ปรารภกับผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลว่า “เมื่อวาน (29 มี.ค.) ทำไมไม่ไปรับ ทำไมไม่ไปรับฉัน เธอส่งใครไปรับฉัน” เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่าก็เป็นนักข่าวเหมือนกัน พล.อ.ประยุทธ์ก็หันมายิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญลักษณ์ว่าเข้าใจ พร้อมกล่าวว่า “โอเคนะ ก็อย่างน้อยมีพวกเยอะหน่อย พวกเราใครจะถามอะไรว่ามา”
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ในวันที่ 30 มี.ค.ก็ยังคงปกติ มีทั้งน้ำเสียงดุดัน เสียงดังและแสดงอารมณ์โมโหบ้างบางช่วงบางตอนเช่นเดิม โดยเฉพาะเมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเตรียมออกคำสั่ง คสช.เพื่อใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว และปัญหาที่ญี่ปุ่นระงับการเพิ่มเที่ยวบินเหมาลำจากไทย
ทั้งนี้ ระหว่างการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ได้บ่นผู้สื่อข่าวด้วยว่ามีเรื่องอะไรสื่อมักจะมาลงที่ตนเพียงคนเดียว ทั้งที่พยายามแก้ให้ทุกเรื่อง ประชุมก็นาน สั่งงานก็เยอะปวดท้องไปหมดแล้ว บางวันพูดคนเดียว ถามคนเดียว วันนี้ก็ประชุมไป 3-4 ชั่วโมง พูดคนเดียว “และบางครั้งการให้สัมภาษณ์ผมก็เผลอตัวเสียงดังบ้าง โมโหบ้างนิดหน่อย ตอนนี้เขาก็ห้ามผมไม่ให้โมโหบ่อยแล้วเดี๋ยวตายก่อน พวกสื่ออยู่ได้เพราะถามแค่ประโยคเดียวแต่ฉันตอบแบบยาวเหยียด”
เมื่อถามว่าใครเป็นคนเตือนไม่ให้โมโหและพูดน้อยๆ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมเตือนตัวผมเอง เพราะว่าผมปวดหัวไง พูดแล้วโมโหก็ปวดหัว เส้นโลหิตมันจะแตกเดี๋ยวตายก่อน ยอมรับว่าผมเป็นคนขี้โมโห แต่ตอนนี้ผมพยายามที่จะหยุดเพราะน้องๆ น่ารักทุกคน”