“ยะใส” โพสต์มอง “ลี กวนยู” มาดูปฏิรูปประเทศไทย แนะควรเลิกบูชาวิถีการเมืองแบบตะวันตก - “โอ๊ค” จี้รัฐบาลรีบๆ ทำหน้าที่แล้วคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน “ตู่-จตุพร” ระบุอดีตนายกฯ ลีเป็นไอดอลของผู้นำหลากหลายประเทศ ด้าน “ชวน” ชื่นชมเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ นำชาติสู่ความเจริญ
วันนี้ (23 มี.ค.) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการถึงแก่อสัญกรรมของนายลี กวนยู รัฐบุรุษและอดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ว่าถือเป็นการสูญเสียบุคลากรอันยิ่งใหญ่แก่ชาวสิงคโปร์
“ผมมีโอกาสได้สัมผัสและเข้าเยี่ยมคารวะนายลี กวนยู เมื่อครั้งที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในช่วงแรกๆ ท่านเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ทำคุณประโยชน์และนำสิงคโปร์ไปสู่ความเจริญอย่างมาก ซึ่งในยุคที่บุกเบิกเป็นเรื่องที่ทำงานด้วยความยากลำบากกว่าจะเป็นที่ยอมรับ” นายชวนกล่าว
มีรายงานว่า นายสุริยะใส กตะศิลา อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุ “มอง ลี กวนยู...มาดูปฏิรูปประเทศไทย”
“ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับการถึงแก่อสัญกรรมของนายกรัฐมนตรีคนแรกและเป็นมหาบุรุษผู้สร้างชาติสิงคโปร์ นายลี กวนยู ในวัย 91 ปี ผมคงไม่ต้องบอกเล่าท้าวความถึงประวัติศาสตร์และผลงานของ ลี กวนยู แต่อยากชวนมองความเป็นสิงคโปร์ บนโลกใบนี้ ที่ไม่ใช่แค่ประเทศสมาชิกอาเซียน
ความสำเร็จของสิงคโปร์ในทางเศรษฐกิจ แยกไม่ออกจากลมหายใจของลี กวนยู แม้จะเป็นประเทศเล็กไ แต่กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเงินของโลก เป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจก็ว่าได้
ในทางการเมืองแม้เป็นเกาะเล็กๆ แต่ก็ไม่ง่ายเพราะสิงคโปร์มีคนหลายเชื้อชาติ และอยู่ท่ามกลางสงครามหาอำนาจ สงครามโลกและความขัดแย้งในภูมิภาคสารพัดรูปแบบ แต่สิงคโปร์ก็ยังคงยืนเดินตระหง่านในประชาคมโลก
นั่นเพราะส่วนหนึ่งต้องยกให้ “ภาวะผู้นำ” หรือ Leadership ของลี กวนยู ที่ตลอดลมหายใจของเขาและวิสัยทัศน์ที่แสดงออก เป็นและเพื่อสิงคโปร์ ทำให้เสียงโจมตีเขาที่ว่าเป็น “เผด็จการ” ในคราบประชาธิปไตย แผ่วเบาและแทบไม่มีความหมายเมื่อเทียบกับความเจริญอย่างรุดหน้าของสิงคโปร์
ลี กวนยู แม้เป็นนักการเมืองคนหนึ่งก็ตาม แต่ในยามที่ถืออำนาจเขากับแสดงออกถึงความเป็น “รัฐบุรุษ” ทำให้การถ่ายโอนอำนาจผ่านเครือญาติมีแรงต้านน้อยกว่าที่คิด เพราะอะไรกันเล่า
แน่นอนเราไม่อาจยกเอาประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ได้ในทุกๆเรื่อง เพราะต่างสังคมต่างบริบทกัน และจะเอาความเจริญแบบสิงคโปร์มาพิพากษาชะตากรรมของคนไทยก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ “ภาวะผู้นำ” ของลี กวนยู เหนือกว่านักการเมืองบ้านเราหลายขุม ยิ่งในยามที่เราเรียกร้องการปฏิรูป เรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งก็ยังหาข้อสรุปไม่ลงตัวว่าคืออะไร แบบไหน
แต่ทุกครั้งเมื่อผมมองสิงคโปร์แล้วย้อนมองเมืองไทยทีไร ก็ต้องยอมรับว่าความสำเร็จประการหนึ่งของสิงคโปร์คือ “ออกแบบการเมือง” ที่เหมาะและสอดคล้องกับสังคมและความเป็นสิงคโปร์ได้อย่างลงตัว
ไทยเราล่ะถึงเวลาลดความคิดนำเข้าสำเร็จรูปหรือบูชาวิถีการเมืองแบบตะวันตกลงบ้างก็น่าจะดีนะครับ”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์” ไว้อาลัยการจากไปของนายลี กวนยู โดยมีข้อความในเฟซบุ๊กดังนี้
“ขอไว้อาลัยต่อผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของกลุ่มประเทศอาเซียน นายลี กวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนแรก และถือเป็นรัฐบุรุษคนหนึ่ง ได้ถึงแก่อสัญกรรมในวันนี้ ด้วยวัย 91 ปี ด้วยภาวะปอดบวมและติดเชื้อ นายลี กวนยู สามารถนำพาประเทศขนาดเล็ก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเชื้อชาติจีน มาเลย์ หรืออินเดีย ก็สามารถร่วมกันบริหารประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าเกาะภูเก็ต ไปสู่ประเทศที่ยิ่งใหญ่ยืนอยู่แถวหน้าระดับโลกได้
ท่านลี กวนยู นับว่าเป็นไอดอลของผู้นำหลากหลายประเทศ ที่มีทรัพยากรแต่ขาดศักยภาพเทียบเท่า ในฐานะที่ผมเป็นคนที่ติดตามข่าวสารการเมืองคนหนึ่ง ก็ขอไว้อาลัย ณ ที่นี้ด้วย “ต่อให้ผมนอนป่วยอยู่บนเตียง หรืออยู่ในหลุมศพไปแล้ว ถ้าผมรู้สึกมีสิ่งใดที่ผิดปกติ ผมจะลุกขึ้น” ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ที่ลี กวนยู ได้กล่าวไว้เมื่อปี 1988 ในงานวันชาติ
Even from my sick bed, even if you are going to lower me into the grave and I feel something is going wrong, I will get up.”
ด้าน นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุ
“รัฐบาลที่เข้ามาโดย พี่น้องประชาชน เป็นคนเลือก” เปรียบเทียบกับ...“รัฐบาลที่เข้ามาโดย พี่น้องประชาชนไม่มีทางเลือก” เริ่มจะมีความแตกต่างกัน ให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ย่อมมีการยึดโยงกับพี่น้องประชาชน จะทำอะไรต้องฟังเสียงประชาชนเป็นหลัก เพราะถ้าทำอะไรไม่ดี ครั้งหน้าประชาชนย่อมไม่เลือกเข้ามาอีก
รัฐบาลปัจจุบัน ทราบกันดีว่าเข้ามาโดยวิธีพิเศษ ในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤติหาทางออกไม่ได้ ประชาชนไม่ได้เลือกเข้ามาเพราะมีนโยบายอะไรดีๆที่ถูกใจตน
ดังนั้นนโยบายของรัฐบาลในช่วงนี้ จึงอาจจะออกมาไม่ค่อยจะถูกอกถูกใจ พี่น้องประชาชนสักเท่าไหร่ โดยเท่าที่ได้ยินมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
การจัดเก็บภาษีประหลาดๆ แบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประเทศไทย ทั้งภาษีบ้าน, ที่ดิน, มรดก, โรงเรียนกวดวิชา ฯลฯ
การจัดระเบียบการค้าขายที่ขัดต่อวิถีชีวิตแบบไทยๆ คนซื้อขาดความสะดวกสบาย คนขายเจ๊ง การปล่อยราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ แต่สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเตรียมตัวขึ้นราคา การไม่ลดราคาน้ำมันให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลก และนโยบายอื่นๆ อีกหลายเรื่อง รวมถึงการไม่เอาผิด และปล่อยให้ สนช.ที่ตนเองแต่งตั้งมา นำครอบครัว-ลูกเมีย มากินเงินภาษีอากรของราษฎร ทั้งๆ ที่ไม่มีความชำนาญในวิชาชีพนั้นๆ (ตั้งกันเข้ามาร่วม 50 คนครับ ทำกันขนาดที่ “นักการเมือง” ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น “คนไม่ดี” ยังต้องชิดซ้ายอายแทน)
ยิ่งรัฐบาลทำเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ย่อมมีคนที่ไม่เห็นด้วย และต้องการแสดงออกมากขึ้นเท่านั้น เมื่อคนไม่พอใจนโยบาย แล้วรัฐไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่กลับมีการสกัดกั้น ด้วยกระบวนการทางทหาร มันจะเหมือนกับสปริงที่ถูกกดเอาไว้ ยิ่งกดมากเท่าไหร่ เมื่อมีโอกาสดีดกลับก็จะดีดตัวไปไกลกว่า ช่วงที่กดไว้หลายเท่าตัวนัก
เรื่องนโยบายขูดรีดภาษี นโยบายสัพเพเหระต่างๆ รวมถึงโครงการขนาดใหญ่ ที่ใช้เงินลงทุนเป็นแสนเป็นล้านล้าน ที่ลูกหลานไทยจะต้องเป็นหนี้ไปอีกหลายสิบปี รัฐควรงดเว้นไว้ก่อนครับ อย่าไปหมกมุ่นกับเรื่องเหล่านี้ รอให้มีรัฐบาลที่มีการถ่วงดุล มีฝ่ายค้านและองค์กรอิสระคอยตรวจสอบ เขาเป็นคนเสนอนโยบาย ผิดถูกอย่างไรประชาชนเป็นผู้เลือกเข้ามาเอง ทุกฝ่ายจะสบายใจกว่าเยอะ
ในเมื่อให้คำมั่นว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ก็น่าจะโฟกัสไปเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหา และเป็นเหตุให้เกิดรัฐประหาร ซึ่งเกี่ยวกับความปรองดองของคนในชาติ การแก้ในเรื่องสองมาตรฐาน และการแก้กฏหมายต่างๆที่ไม่เป็นธรรมเป็นหลัก อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมากนักเลย รีบๆ ทำหน้าที่ เฉพาะที่ประชาชนไว้วางใจให้ทำ อย่าออกนอกลู่นอกทาง เสร็จแล้วรีบคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชนทั้งประเทศ ลงจากหลังเสือแบบนี้ สง่างาม เท่กว่าเยอะครับ..”